ตอนที่สิบ
ก่อนที่จะถึงบทสรุปที่สำคัญคือเรื่องของการออกกำลังกายนั้น ขอทบทวนเรื่องอาการป่วยของผมให้เพื่อนๆรู้อีกทีจะได้ไม่สับสนเพราะความเป็นห่วงนะครับ
............ผมป่วยเป็นเบาหวานเมื่อ 3 ปีที่แล้ว และถึงวันนี้อาการโดยทั่วไปเรียกว่าดีที่สุด เพราะโรคเบาหวาน ไม่มีคำว่าหายขาด ใครโชคดีได้เป็นแล้วก็จะคงอยู่ด้วยกันตลอดไปเรียกว่าเป็น คู่เวร กันไปเลย
...........ในระยะแรกของการป่วย คือช่วง 3-4 เดือนแรกนั้น ร่างกายผมไวต่อน้ำตาลมาก วันไหนทานของหวานเข้าไปนิดหรือทานข้าวมากไปหน่อยเช่นจากการไปงานสังสรรค์ดังที่เคยกล่าวในตนต้นบ้างแล้ว หลังจากนั้นเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง กลับถึงบ้านลองวัดน้ำตาลในเลือดดู ขึ้นสูงปรู๊ดเลยครับ บางครั้งถึงขั้นต้องฉีดยาให้ลด..
........แต่จากวันแรกที่รู้ว่าเป็นเบาหวาน รักษามาราว 6 เดือน ก็รู้สึกว่าอาการไวต่อน้ำตาลที่เคยเป็นค่อยๆลดลง จนกระทั่งถึงระดับที่น่าพอใจทั้งตัวผมเองและคุณหมอผู้ให้การรักษา ผมสามารถทานของหวานในจำนวนพอสมควร คือสมควรกับความอยากไม่ใช่ว่าทานให้อิ่ม เช่นลอดช่องไทย 1 ถ้วย หรือขนมหม้อแกงสัก 2ชิ้น ทานข้าวก็ไม่เกินครั้งละ 1จาน
เป็นต้น ทานแล้ววัดน้ำตาลดู ผลว่าขึ้นสูงนิดหน่อย สูงในระดับปกติที่คนทั่วไปเขาเป็นกัน
...........ถึงตอนนี้คุณหมออธิบายให้ผมฟัง ผมก็ขอเรียบเรียงให้เป็นลำดับนะครับ คือร่างกายมีระบบควมคุมระดับน้ำตาลในเลือด ถ้าเมื่อไรมีสูงเกินไป ระบบจะหลั่งสารชนิดหนึ่งชื่อว่า อินซูลิน ออกมา เพื่อควบคุมไว้ให้อยู่ในระดับที่สมควร สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นเบาหวานนั้นก็เนื่องจากระบบควมคุมนั้นบกพร่องไม่สามารถหลั่งสารนั้นออกมาได้
การรักษอย่างเร่งด่วนคือ ฉีดสารอินซูลิน ให้เข้าไปควบคุม
ส่วนยาที่กินเพื่อรักษานั้น ไปรักษาระบบผลิตอินซูลินในร่างกายครับ คราวนี้เมื่อผู้ป่วยรักษาตนเองด้วยการลดการทานน้ำตาล ก็เป็นการช่วยลดการทำงานหนักของระบบนั้น และกินยาไปช่วยรักษาอีกด้วย เมื่อถึงระดับหนึ่ง ร่ายกายก็จะผลิตสารอินซูลินได้ดีเกือบเหมือนเดิม
........ตอนที่ผมรู้ตัวว่าเริ่มหายแล้ว ที่งานวัดแห่งหนึ่งมีผู้ใจบุญมาออกร้านอาหารเลี้ยงผู้คนที่มาทำบุญ ผมแถเข้าไปทีร้านของหวานของคนสวยคนหนึ่ง วันนั้นเธอทำรวมมิตร ก็เจ้าเก่าที่ผมเคยบอกในตอนต้นแล้วว่าผมไม่ชอบกินเท่าไหร่หรอกแต่คนทำนั่นหวานกว่าน้ำเชื่อมอีกนั่นแหละ เธอตักส่งให้ผมแค่ครึ่งถ้วย...ผมรีบอธิบายอย่างแรงว่าตอนนี้ผมหายดีแล้ว ทานสองถ้วยยังได้เลย...เธอยิ้มหวานบาดใจอีกแล้วพูดว่า ทานแค่นี้แหละพอ นี่เพราะความรักและห่วงใยนะคะ...ครับ แค่นั้นผมก็ปลื้มแล้วเลยได้ทานขนมแค่ครึ่งถ้วยจริงๆ
........แม้ว่าอาการจะดีถึงขนาดแล้ว บางทีผมก็ไม่ได้กินยาตั้ง 2-3 วัน เพราะต้องไปค้างที่อื่นโดยไม่ได้เอายาติดไป แต่กลับมาวัดน้ำตาลดูก็ปกติ แต่ผมก็ไม่ประมาทหรอกครับยังคงกินยาอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้
.......ส่วนเรื่องความดันเลือดสูงและไขมันในเลือดสูงสำหรับผมนั้น จากการวัดกี่ครั้งผมก็เป็นปกตินะครับ แต่เนื่องจากคุณหมอได้กำชับไว้ว่า ผมจะต้องระมัดระวังในเรื่องนี้ให้มากกว่าผู้ที่ไม่ได้เป็นเบาหวาน คุณหมออธิบายให้เห็นเป็นเรื่องธรรมดาว่า เจ้าเบาหวาน ความดันสูง และไขมันในเลือดนี่มันเป็นเพื่อนกัน...เรียกว่าผมได้ของแถมฟรีๆว่างั้นเถอะ แหม แล้วที่อย่างอื่นที่ผมอยากได้ของแถมไม่ยักกะได้ซักครั้งเดียว...
.........เป็นอันสรุปได้ว่า ผมมีโอกาสได้ลดหุ่นลงก็เนื่องจากบรรดาสรรพโรคทั้งหลายนี่แหละ ผมจำต้องลดอาหารพวกแป้งและน้ำตาล ลดอาหารปรเภทไขมันทั้งหลายอีกด้วย...และคุณหมอบอกว่ายาป้องกันความดันเลือดสูงที่ดีที่สุดในโลกก็คือ การออกกำลังกาย และเมื่อต้องปฏิบัติถึงขนาดนี้แล้วยังไม่ผอมก็ไม่รู้จะว่าไงแล้วครับ
.............มีเรื่องเล่าถึงตรงนี้นิดหนึ่ง คือหลังจากน้ำหนักผมหายไป 9-10 ปาวด์หรือประมาน 5 กิโลแค่นั้น วันหนึ่งผมไปในการสัมนาเล็กๆเกี่ยวกับด้านศาสนาแห่งหนึ่งซึ่งมีกันทุกเดือน แต่คราวนี้ผมขาดไปเสียสามเดือน ในการนี้มีทั้งคนไทยและคนจีน มีหญิงไทยเชื้อสายจีนผู้หนึ่งอายุราวเจ็ดสิบกว่าแล้ว เข้ามาทักทายผมด้วยความดีใจที่ไม่ได้พบกันนานและได้ทราบว่าผมหายป่วยแล้ว มีคำหนึ่งคุณเจ๊แกพูดว่า อาจารย์หุ่นขนาดนี้น่ะดีแล้ว ดีมากเลย อย่าปล่อยให้กลับไปอ้วนอีกนะ... อื้อฮือ นี่ก็หมายความว่าตอนก่อนนั้นทรวดทรงผมคงน่าเกลียดเอามากมายเลย..
........อ้าว ยังไม่ถึงตอนออกกำลังกายเลยว่าผมทำได้อะไรไปบ้าง
ห้องอัดเสียงเขามาเร่งให้ไปร้องเพลงแล้ว ดนตรีคอยอยู่
........ยังจบไม่ได้อีกแล้วละครับ.
<br><img src='http://i77.photobucket.com/albums/j54/suphanca/Avatar/campange300.jpg' border='0' alt='user posted image' /><br>