เดือนนี้ เป็นเดือนทดสอบระบบการทำงานภายในร่างกายของตัวเองระยะที่สอง ระยะแรกคือเดือนที่ผ่านมา ได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างเกี่ยวกับระบบการทำงานภายในร่างกายของตัวเองมากขึ้น และพร้อมที่จะลุกขึ้นสู้กับไขมันอย่างค่อนข้างจะมั่นใจว่าจะต้องกำจัดให้มันลดลงไปอีกให้จงได้
แต่อุปสรรคใหญ่ในช่วงนี้ก็คือเวลาของหน้าที่การงานซึ่งยากที่จัดแบ่งเวลาให้ลงตัวได้ จึงไม่สามารถจะทำตามสูตรอื่นๆ หรือแม้กระทั่งการออกกำลังกายตามซีดีที่ซื้อมาวางไว้เฉยๆ ยังหาโอาสฝึกตามไม่ได้เลย ตอนนี้ต้องใช้ สูตรใครก็สูตรใคร ไปก่อน รอเอาไว้ช่วงยุ่งๆผ่านไปแล้วค่อยจัดใหม่ เข้มงวดไปก็เครียดเปล่าๆ...อิอิ
ปีที่แล้วทำออกกำลังกายได้เช้าเย็นเพราะมีทั้งคนช่วยหั่นของและคนล้างจานทำความสะอาด แล้วก็ขายบัฟเฟ่อย่างเดียว
ปีนี้ เศรษฐกิจแย่ เลยจ้างคนหั่นของอย่างเดียว นอกนั้นทำเอง แถมเพิ่มทำอาหารตามสั่งอีก...
"กินเมื่อรู้สึกหิว และหยุดเมื่อรู้สึกอิ่ม" เมื่อก่อนยายหนูจะชอบประโยคนี้มาก แล้วก็ค่อยๆปรับ ทำตามแต่ทำไม่ค่อยจะได้ เนื่องจากหน้าที่การงานที่หาความตั้งใจในการกินไม่ได้เลย เมื่อใดที่รู้สึกหิว อะไรก็ได้คว้าใส่ปาก เพื่อให้ทันต่อเวลา โดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น หลังจากกินหมด ซึ่งคิดว่าเพียงพอแล้วก็ดื่มน้ำ กลายเป็นอิ่มมากเกินไป...แล้วก็มานั่งรู้สึกผิดที่ทานเข้าไปเยอะ...
<span style='font-size:14pt;line-height:100%'><span style='color:red'>สิ่งที่ค้นพบใหม่ก็คือ</span></span>
"ทานเมื่อรู้สึกหิวและหยุดเมื่อความรู้สึกหิวหายไป"
เอ..แล้วมันต่างกันอย่างไรกับประโยคแรก จากนั้นก็ปล่อยให้ความสงสัยนี้ให้หายไป
<span style='color:blue'>จนวันหนึ่ง</span> วันที่ครอบครัวพี่ต่ายขึ้นมาเยี่ยม วันนั้นยายหนูตื่นเต้นและยุ่งมากๆ เตรียมหุงข้าวต้อนรับ 4คัพ เพราะมากัน 4คน (บ้านยายหนูจะเตรียมแบบนี้) อาหารมีแค่ 2อย่าง อย่างละถ้วย คิดว่าเมื่อพวกเขามาถึงคงจะทานกันอย่างเอร็ดอร่อย กับข้าวอาจจะไม่พอ คิดไปต่างๆนาๆ...แต่หลังจากทานอิ่ม ข้าวเหลือเต็มหม้อไม่มีใครตักเติม กับข้าว2ถ้วยก็เหลือ...อืม หรือว่าพวกเขาเกรงใจที่เราไม่ตักข้าวเติมให้ เลยไม่กินต่อ...คิดมากอีกแล้ว....
วันรุ่งขึ้น ปิดร้านเร็ว จัดโต๊ะและกับข้าวเตรียมต้อนรับ วันนี้ทุกคนทานและคุยกันอย่างสนุกสนาน ยายหนูไม่ได้สังเกตว่าทานกันไปมากแค่ไหน รู้แต่ว่าทานไปคุยกันไปชมไป...
เช้าวันรุ่งขึ้น ครอบครัวพี่ต่ายมาแวะเพื่อบอกลา ยายหนูยังทำกับข้าวไม่เสร็จ คือเสร็จแล้วเป็นบางอย่าง คุณแม่พี่ต่ายต้องการจะอุดหนุนโดยตักใส่กล่องติดไปเป็นอาหารกลางวัน และแล้วคำตอบของโยคนั้นก็กระจ่างชัด เมื่อเห็นคุณแม่ พี่ๆและตัวพี่ต่ายเอง ตักข้าวและกับอย่างละนิด อย่างละหน่อย ข้าวที่ตักวางอยู่ในหลุมกล่องโฟมประมาณเอามือเปิบคำใหญ่ๆก็หมด... พี่ต่ายบอกว่าแค่นี้พอแล้ว เยอะแยะแล้ว...
หลังจากที่พวกเขาลากลับ ยายหนูมานั่งคิดถึงปริมาณอาหารที่พวกเขาทาน อืม...ทานอย่างนี้ซิเล่าถึงไม่อ้วน จากนั้นมายายหนูก็เอามาปรับกับตัวเองโดยทานเมื่อรู้สึกหิว ตักมาในปริมาณน้อยๆก่อน หลังจากตักอาหารเข้าปากก็เพ่งความสนใจไปที่อาหารที่เคี้ยวอยู่ในปาก และสังเกตความรู้สึก ว่าหายหิวหรือยัง
แปลกนะ...แค่คำแรกความรู้สึกหิวนั้นก็หายไปเสียแล้ว แต่ด้วยเกรงว่าไม่ทันจะถึง 3ชั่วโมงก็จะหิวอีก จึงทานต่อไปและถามตัวเองอีกจนอาหารที่ตักมานั้นหมด...ดื่มน้ำตาม และเพ่งความสนใจไปที่กระเพาะอาหาร มีความรู้สึกว่ามันตึงขึ้นเรื่อยๆ 3ชั่วโมงต่อมา ปรกติยายหนูจะนั่งมองเวลาว่าได้เวลาทานอาหารหรือยัง บางครั้งไม่หิวแต่ได้เวลาแล้วต้องทาน เหมือนวันๆต้องกังวลกับเวลาของมื้ออาหารด้วย...
สัปดาห์หลัง ลองไม่สนใจ หางานทำไปเรื่อย ทั้งๆที่ยุ่งแทบไม่ได้หยุดอยู่แล้ว เหลือบมองนาฬิกา อ้าวจะ 4ชั่วโมงแล้ว ทำไมยังไม่รู้สึกหิวอีกล่ะ เดินเข้ามาดูตารางที่จัดไว้ แล้วก็ทำแบบเดิม...
วันต่อๆมาเมื่อมีเวลา ไม่เร่งรีบมาก ก็จะฝึกทำอย่างนี้
<span style='color:green'>สิ่งที่ควรทำ "ตักน้อยๆ ทานแค่พอให้ความรู้สึกหิวนั้นหายไป ต่อมาก็จะรู้สึกอิ่มเอง"</span>
<span style='color:red'>สิ่งที่ไม่ควรทำ "อยากกินอะไร ยกมาทีเดียวหรือตักมาทุกอย่างเลย ขี้เกียจลุกไปตักอีก รีบๆกินให้อิ่ม จะได้ไปทำงานต่อ"</span>
เดือนนี้เริ่มต้นที่น้ำหนัก 72.5 ชั่งหลังจากตื่นนอนและดื่มน้ำเข้าไปครึ่งขวด ก่อนปล่อยปลาชะโด...เกิ๊ก เกิ๊ก แต่ดันลืมถ่ายรูป หมายถึงตัวเลขบนเครื่องชั่งไม่ไช่ปลาชะโด....กร๊ากกกก มานึกขึ้นได้หลังดื่มนมไปแล้ว1กล่องและน้ำอีก1แก้ว เอาวะ ชั่งไว้ก่อนที่มันจะขึ้น...กร๊ากกก อีกรอบ