ครัวไกลบ้านได้ทำการปรังปรุงเวบไซต์ให้ใช้งานได้ง่ายขึ้นในระบบสมาร์ทโฟน และได้รวมข้อมูลเมนูอาหารและ สมาชิกจากทั้งเวบไซต์เก่าและใหม่เสร็จเรียบร้อยแล้ว

สมาชิกท่านไหนมีปัญหาไม่สามารถล็อกอินได้ ให้ทำการเปลี่ยนพาสเวิร์ดโดยคลิ๊กลิ้งค์นี้ ลืมรหัสผ่าน
ถ้าท่านใดมีชื่อสมาชิกมากกว่าหนึ่งชื่อแล้วต้องการรวมโพสทั้งหมดให้อยู่ในชื่อสมาชิกเดียว หรือมีปัญหาในการใช้เวบไซต์
สามารถส่งอีเมล์แจ้งรายละเอียดมาได้ที่ admin@kruaklaibaan.com หรือส่งข้อความได้ที่ user: sillyfooks

ถ้าชอบครัวไกลบ้าน อย่าลืมคลิ๊กไลค์เฟสบุ๊คให้ครัวไกลบ้านด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ

อาหารเช้าช่วยลดความอ้วน

ห้องนี้สำหรับสมาชิกพูดคุย ปรึกษาปัญหาเรื่องสุขภาพค่ะ

โพสต์โดย ยายหนู » อาทิตย์ ส.ค. 30, 2009 4:58 am

<a href='http://health.msn.com/nutrition/video.aspx?vid=acd94779-297e-4f9c-a5d4-535a2a6a2c6e%26tab=VideoJug' target='_blank'>http://health.msn.com/nutrition/video.aspx...%26tab=VideoJug</a>


<span style='color:red'><span style='font-size:14pt;line-height:100%'>“ลดความอ้วนที่ “ต้นเหตุ” พิสูจน์แล้วว่าได้ผลจริง ลดน้ำหนักอย่างถาวร ไม่กลับมาอ้วนอีก ด้วยสิ่งธรรมชาติความอวบ…อ้วน…ไขมันส่วนเกิน…ปัญหาสุขภาพ ฯลฯ แก้ไขได้ไม่ต้องอดอาหารไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายใช้ได้ผลแล้วมากกว่า 40 ล้านคน รับรองผลภายใน 1 เดือน สนใจดูรายละเอียดที่…”

“กำจัดส่วนเกิน ต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง หุ่นฟิตเฟิร์มสวยภายใน 2 สัปดาห์ ผลลัพธ์กว่า 40 ล้านคนทั่วโลกพิสูจน์แล้วว่าได้ผลหุ่นสวย สุขภาพดีวันนี้เพราะป้องกันดีกว่ารักษาเสมอ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมฟรี…”</span></span>


ไม่ต้องบอกก็คงรู้ (ด้วยวิจารณญาณ) ว่าข้อความข้างต้นเป็นเพียงโฆษณาชวนเชื่อ

และก็คงมีหลายคนยอม “เชื่อ” ตามที่โฆษณาชี้ชวน ไม่อย่างนั้นธุรกิจลดน้ำหนักคงไม่ลงทุนลงแรงส่ง Spam mail เหล่านี้กระจายทั่วทุกหัวระแหงบนโลกอินเทอร์เนต ให้นักท่องเว็บต้องรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจอยู่บ่อยๆ (นี่ยังไม่นับข้อความตามเสาไฟฟ้าหรือรายการโทรทัศน์ประเภทโทรศัพย์มาสั่งซื้อสินค้าภายใน 24 ชั่วโมง รับไปเลยที่ตบยุงอีกหนึ่งอัน)

ถ้าจะนับกันโดยไม่ต้องพลิกหาข้อมูลอ้างอิงจากสถาบันวิจัยใด ปัญหาเรื่องพองหนอ-ไม่ยุบหนอของส่วนสัดสรีระร่างกาย น่าจะเป็นปัญหาหนักอกหนักกายอันดับหนึ่งของมวลมนุษย์ในสังคมสมัยใหม่

แม้ว่าในอีกด้าน ปัญหาเรื่องปากท้อง การขาดอาหาร ความไม่มีจะกินของคน ก็ยังไม่เคยทุเลาเบาบางลงก็ตาม

อะไรทำให้เป็นเช่นนั้น ?
ปรากฏการณ์ทำนองนี้ไม่ได้เป็นเรื่องของบุญทำกรรมแต่ง หากเว้นไปเสียจากภาพสะท้อนของการพัฒนาที่ไม่เท่าเทียม “ความอ้วน” เป็นเรื่องที่เกี่ยวพันโดยตรงกับวิถีชีวิตที่ดำเนินกิจวัตรอยู่บนเส้นทางแห่งบริโภคนิยม

โดยเฉพาะเรื่องของ “การกิน”
ไม่ใช่แต่การกินมากๆ โดยไม่บันยะบันยังเท่านั้นที่ทำให้อ้วนได้ง่าย การกินน้อยๆ หรือยอมอดอาหารในบางมื้อ ก็ไม่ได้เป็นหลักประกันเช่นกันว่าจะทำให้มีรูปร่างผอมเพรียวเสมอไป

รวมไปถึงเรื่องความเชื่อมั่นในความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ว่าจะมีวิทยาการใดมาใช้ “ดักจับความอ้วน” เหมือนแมวจับหนู เพื่อจะช่วยให้เรามีให้มีรูปร่างที่สมส่วนโดยไม่ต้องออกกำลังกาย และไม่ต้องตัดใจจากบรรดาของโปรดที่ล้วนแต่ต้องทำสงครามกับแคลอรีในร่างกายอย่างหนักหน่วง

ถ้ายังไม่เบื่ออ่านมาถึงบรรทัดนี้แล้ว เราขอชวนให้คุณเชื่อสักหน่อยได้ไหมว่า การกิน “อาหารเช้า” (อย่างถูกต้องตามหลักโภชนาการ) นี่แหละ จะทำให้คุณสามารถลดความอ้วนได้!



<span style='color:red'><span style='font-size:14pt;line-height:100%'>วันนี้คุณกินอาหารเช้าหรือยัง</span></span>
อาหารเช้าเป็นมื้อสำคัญที่สุดของวัน

แหม เรื่องแบบนี้ใครๆ ก็รู้…การอดอาหารเช้าจะทำให้การเรียนและการทำงานไม่มีประสิทธิภาพ ขาดสมาธิ หงุดหงิดง่าย อ่อนเพลียและง่วงนอน เพราะขาดสารอาหารไปหล่อเลี่ยงสมอง หนักๆ เข้าก็อาจถึงขั้นปวดหัว-ปวดท้องเป็นโรคกระเพาะต้องเข้าโรงพยาบาลไปตามระเบียบ

นั่นสิ ทั้งที่ก็รู้ แต่เราก็ยังไม่ค่อยชอบกินอาหารเช้ากันสักเท่าไรอยู่ดี

อย่าถามเลยว่าทำไม ก็เห็นกันอยู่ ชีวิตคนเมืองมันมีแต่ความเร่งร้อน รถราก็แสนติดขัด แค่จะไปให้ถึงที่ทำงานตรงเวลายังต้องกระหืดกระหอบแทบตายประสาอะไรกับการมานั่งละเลียดกินนั่นกินนี่ กาแฟสักถ้วยก็อยู่ท้องแล้ว

ที่เป็นอย่างนี้เพราะคนส่วนใหญ่กินอาหารด้วยความรู้สึกว่าหิวหรือไม่หิว มากกว่าจะกินเพราะรับรู้ว่าเป็นความจำเป็นของร่างกาย ซึ่งไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าการเรียนหนังสือหรือการทำงานหากิน

โดยไม่รู้เลยว่าแค่การไม่กินอาหารมื้อเช้ามื้อเดียวนั้น ได้ก่อให้เกิดผลอะไรกับร่างกายบ้าง

จากการวิจัยผลของการกินอาหารเช้าต่อการตอบสนองของร่างกายทางด้านชีวเคมีพบว่า ภายหลังจากที่กลุ่มตัวอย่างกินอาหารมื้อเช้าเป็นเวลา 30 นาที ระดับน้ำตาลในเลือดได้ขึ้นถึงจุดสูงสุด จากนั้นระดับน้ำตาลในเลือดลดลงอย่างรวดเร็วภายในเวลา 3 ชั่วโมง และค่อยๆ ลดลงถึงระดับต่ำสุดภายใน 6 ชั่วโมง

ในขณะที่กลุ่มตัวอย่างซึ่งอดอาหารเช้า ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงภายในเวลา 30นาที จากนั้นระดับน้ำตาลได้เพิ่มขึ้นภายในเวลา 2 ชั่วโมง เนื่องจากร่างกายดึงพลังงานจากคาร์โบไฮเดรตที่สะสมไว้ที่ตับ ซึ่งเป็นเสบียงไว้ใช้ยามจำเป็น นำมาใช้เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดเพื่อให้ร่างกายทำงานได้ตามปกติ อย่างไรก็ตามพลังงานเหล่านี้ก็จะหมดไปในเวลาไม่นาน โดยระดับน้ำตาลในเลือดลดลงจนถึงระดับต่ำสุดภายในเวลา 3 ชั่วโมง

อย่าชะล่าใจไป ถึงร่างกายจะมีกลไกรองรับพฤติกรรม การบริโภคอาหารแบบเอาแต่ใจของเราอยู่ แต่เมื่อทำอย่างนี้นานๆ เข้าก็จะส่งผลต่อการรักษาระดับน้ำตาลในเลือด และทำให้ค่าตัวชี้วัดเมตาบอลิซึมของความเครียดในร่างกายเพิ่มมากขึ้น

ยังไม่นับถึงเรื่องของพลังงาน โปรตีน วิตามินต่างๆ และจุลโภชนาสารที่ควรได้รับใน 1 วัน ซึ่งมีการศึกษาพบว่า ระหว่างคนที่กินและไม่กินอาหารเช้านั้น คนที่กินจะได้รับสารอาหารหลักที่เป็นประโยชน์ครบถ้วนมากกว่า ถึงแม้คนที่ไม่กินอาหารในมื้ออื่นๆ ทดแทนแล้วก็ตาม

ไม่เพียงเท่านั้น ลักษณะการกินอาหารแบบกินมื้อทดมื้อนี้แหละที่จะนำมาสู่ความอ้วน…อย่างที่เราเองก็คาดไม่ถึง

และหักล้างกันอย่างสิ้นเชิงกับคำที่ใคร (ก็ไม่รู้) ทำให้เราเชื่อมาตลอดว่า <span style='color:red'>“กินน้อยๆ สิจะได้ไม่อ้วน" </span>



<span style='color:red'><span style='font-size:14pt;line-height:100%'>อดข้าวเช้า…กลัวอ้วน ?</span></span>
แม้เหตุผลหลักๆ ของคนที่ไม่กินอาหารเช้าจะเป็นเรื่องของการไม่มีเวลา ไม่รู้สึกหิว หรือไม่สะดวกในการตระเตรียมเป็นส่วนใหญ่

แต่มีคนจำนวนไม่น้อยเช่นกันที่มีทัศนคติผิดๆ เกี่ยวกับการ “ลดน้ำหนัก” ด้วยการไม่กินอาหารเช้า และคิดไปเองว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกิน

ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจอย่างหนึ่งก็คือ ถึงแม้คนที่กินอาหารเช้าจะได้รับพลังงานจากสารอาหารมากกว่าคนที่ไม่ได้กินอาหารเช้า แต่เมื่อประเมินภาวะโภชนาการโดยใช้เกณฑ์น้ำหนักตามส่วนสูง และการเพิ่มของน้ำหนักและส่วนสูง กลับพบว่าไม่ได้มีความแตกต่างกันเลย

นั่นแสดงให้เห็นว่า การกินอาหารมื้อเช้านั้นไม่ได้ทำให้อ้วน ตรงกันข้ามไม่กินต่างหากจะนำมาซึ่งความเสี่ยงที่รุนแรงกว่า

จากการศึกษาโดย The Asian Food Information Center (AFIC 2002) ซึ่งการทำงานวิจัยร่วมกับมหาวิทยาลัย 4 แห่งในภูมิภาคเอเชีย พบว่า เด็กอายุ 10-12 ปี ซึ่งกินอาหารเช้าเป็นประจำทุกวัน มีโอกาสที่จะมีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วนน้อยกว่าเด็กที่ละเลยหรือกินอาหารเช้าเพียงบางวัน ทั้งนี้อาจเป็นเพราะเด็กที่ละเลยอาหารเช้ามักจะรู้สึกหิวในช่วงสายๆ ของวันหรือตอนใกล้เที่ยงซึ่งทำให้เด็กเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะกินอาหารที่มีพลังงานและไขมันสูงในมื้อเที่ยงมากขึ้น

สอดคล้องกับการในกลุ่มหญิงอเมริกันผิวขาวและผิวดำ อายุ 9-19 ปี โดย Affenito*และคณะ (2005) ที่แสดงให้เห็นว่า การกินอาหารเช้าเป็นประจำมีความสัมพันธ์กับการลดลงของค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index: BMI) นิสัยการกินอาหารแต่ละมื้ออย่างพอดีไม่กินมากเกินไป การเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์เพื่อสุขภาพ ประกอบกับการออกกำลังเป็นประจำวันและการได้รับพลังงานต่อวันในปริมาณใกล้เคียงกันทุกวันและการได้รับพลังงานต่อวันในปริมาณใกล้เคียงกันทุกวัน นำไปสู่เหตุผลที่ว่าทำไม BMI ของหญิงที่กินอาหารเช้าเป็นประจำจึงมีค่าน้อยกว่าของผู้อื่นที่ละเลยอาหารเช้า

นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาอื่นๆ ที่แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงกันโดยตรงระหว่างการกินอาหารเช้ากับการควบคุมน้ำหนัก ดังเช่นรายงานการวิจัยในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งถูกตีพิมพ์ใน The Journal of Obesity Research (2002) พบว่า ร้อยละ 80 ของอาสาสมัครซึ่งมีมากกว่า 3,000 คน ที่ประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนักส่วนเกินและยังสามารถรักษาน้ำหนักไม่ให้เพิ่มขึ้น ล้วนแต่เป็นผู้ที่กินอาหารเช้าเป็นประจำทั้งสิ้น ทั้งนั้เนื่องจากการกินอาหารเช้าในการควบคุมความหิวในมื้อถัดไปได้ดีขึ้น

อีกทั้งจากผลการวิจัยของสมาคมแพทย์โรคหัวใจอเมริกา (2003) ยังพบด้วยว่า อัตราการเกิดโรคอันเนื่องมาจากภาวะดื้อต่ออินซูลินหรือภาวะที่ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้ได้ เนื่องจากเนื้อเยื่อต่างๆ ไม่ค่อยตอบสนองต่อฮอร์โมนอินซูลินทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง (ปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน ได้แก่ ภาวะไขมันในเลือดสูง ความอ้วน ความดันเลือดสูง) มีค่าลดลงในผู้ที่กินอาหารเช้าอย่างสม่ำเสมอถึงร้อยละ 35-50 เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่กินอาหารเช้าอีกด้วย



<span style='font-size:14pt;line-height:100%'><span style='color:red'>ลดความอ้วนที่ "ต้นเหตุ"</span></span>

<span style='color:green'>การกินอาหารเช้าเพื่อควบคุมน้ำหนัก จึงเป็นเหมือนกับปราการด่านแรกในการหยุดยั้งความอ้วน

เรื่องง่ายซึ่งเริ่มต้นตรงอาหารที่เราตักใส่เข้าปาก ถึงจะไม่มีผลการยืนยันอย่างเป็นทางการชัดเจนแต่จากรายงานการศึกษาข้างต้นคงพอจะทำให้เห็นได้ว่าการกินอาหารเช้านั้นไม่เพียงมีส่วนสำคัญในการรักษาสมดุลของร่างกาย หากยังมี “แนวโน้ม” ในการช่วยป้องกันโรคอ้วนและโรคเบาหวาน รวมทั้งช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองและโรคหัวใจ

แค่เพียงดูแลนิสัยการกินแต่ละมื้ออย่างพอดีและครบถ้วนตามหลักโภชนาการ ก็จะเป็นการรักษาสุขภาพอย่างยั่งยืนโดยไม่ต้องเสีย “ค่าโง่” ให้กับโฆษณาชวนเชื่อของบริษัทขายยาลดความอ้วนทั้งหลาย และยังช่วยป้องกันโรคภัยไข้เจ็บอีกนานัปการ

ไม่ต้องให้หยูกยา ไม่ต้องใช้เข็มขัดลดหน้าท้อง ไม่ต้องหาหมอให้สิ้นเปลืองเงินทอง

นี่แหละการลดความอ้วนด้วยการ “กิน” ของแท้</span>

เรียบเรียงจากรายงานเรื่อง “อาหารเช้ากับสุขภาพ” ของ สิติมา จิตตินันทน์ สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล
ภาพประจำตัวสมาชิก
ยายหนู
แม่ไข่นกกระทา พ่อไข่จะละเม็ด
 
โพสต์: 2789
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.พ. 15, 2006 11:54 pm

โพสต์โดย ยายหนู » อาทิตย์ ส.ค. 30, 2009 4:59 am

Big breakfast 'aids weight loss'

The easy way to lose weight?
Breakfast really could be the most important meal of the day when it comes to losing weight, claims a researcher.

Over several months, obese women who ate half their daily calories first thing fared better than those eating a much smaller amount.

US researcher Dr Daniela Jakubowicz told a San Francisco conference having a small breakfast could actually boost food cravings.

A UK expert said a big breakfast diet might simply be less boring.

It could be that it is simply easier for people on a higher-carbohydrate diet to comply with it over a longer period

Dr Alex Johnstone
Rowett Research Institute, Aberdeen

Dr Jakubowicz, from Virginia Commonwealth University, has been recommending a hearty breakfast to her patients for 15 years.

She tested it against a low carbohydrate diet in a study of 96 obese and physically inactive women.

This diet involved 1,085 calories a day - the majority of these coming from protein and fat.

Breakfast here was the smallest meal of the day - just 290 calories, with just seven grams of carbohydrates.

Her "big breakfast" diet involved more calories - 1,240 - with a lower proportion of fat and more carbohydrates and protein.

Breakfast here was 610 calories, with 58 grams of carbohydrates, while lunch and dinner were 395 and 235 calories respectively.

Four months on, the low-carb dieters appeared to be doing better, losing an average of 28 pounds to the 23 shed on the "big breakfast" diet.

However, after eight months, the situation had reversed, with the low-carb dieters putting an average of 18 of those pounds back on, while the big breakfasters continued to lose weight, on average 16.5 pounds each.

They lost a fifth of their total body weight on average, compared with less than 5% for the low-carb dieters.

Slower metabolism

Dr Jakubowicz reported that the big breakfasters said they felt less hungry, particularly in the mornings.

She said: "Most weight loss studies have determined that a very low carbohydrate diet is not a good method to reduce weight.

"It exacerbates the craving for carbohydrates and slows metabolism - as a result, after a short period of weight loss, there is a quick return to obesity."

She said that the bigger breakfast helped by making people feel fuller during the day, and was healthier, because it allowed more fibre and fruit to be included.

Dr Alex Johnstone, from the Rowett Research Institute in Aberdeen, said that other studies had shown that while low-carb diets were a "good tool" to reduce weight quickly, they were not a "diet for life".

She said that the regaining of lost weight by these dieters could be more a sign of the relative monotony of the two diets, rather than their ability to necessarily reduce cravings.

"It could be that it is simply easier for people on a higher-carbohydrate diet to comply with it over a longer period."

A spokesman for the British Nutrition Foundation said there was evidence that a good-sized breakfast could help dieters.

She said: "Research shows that eating breakfast can actually help people control their weight.

"This is probably because when we don't have breakfast we're more likely to get hungry before lunch and snack on foods that are high in fat and sugar, such as biscuits, doughnuts or pastries."

ที่มา... <a href='http://news.bbc.co.uk/2/hi/health/7460729.stm' target='_blank'>http://news.bbc.co.uk/2/hi/health/7460729.stm</a>


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

งานนี้ใครที่อยากลดความอ้วน คงต้องทานอาหารเช้ามื้อใหญ่กันเสียแล้วล่ะครับ เพราะผลวิจัยรายงานว่าสาวอ้วนที่ทานอาหารเช้ามากหน่อย แบบว่าให้คลอรีได้ครึ่งหนึ่งของแคลอรีที่ได้รับทั้งวันจะลดน้ำหนักได้ดีกว่าสาวที่ทานอาหารเช้าน้อยหรือไม่ทานเลย

ดร. Daniela Jakubowicz นักวิจัยหญิงชาวสหรัฐ กล่าวในงานประชุมซานฟรานซิสโกว่า การทานมื้อเช้าน้อยจะยิ่งทำให้ต้องการอาหารมากขึ้น

โดย ดร. Jakubowicz จากมหาวิทยาลัย Virginia Commonwealth ใช้วิธีง่าย ๆ แก้ปัญหาให้กับผู้เป็นโรคอ้วนโดยให้ทานอาหารเช้ามื้อใหญ่มาเป็นเวลา 15 ปีแล้วครับ

ดร. Jakubowicz ศึกษาผลการรับประทานอาหารแบบนี้กับวิธีทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำในผู้มีปัญหาโรคอ้วนและไม่ค่อยออกกำลังกาย 96 ราย

โดยผู้รับประทานอาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำจะได้รับพลังงานวันละ 1,085 แคลอรี พลังงานส่วนใหญ่มาจากเนื้อสัตว์และไขมัน

คนกลุ่มนี้จะทานมื้อเช้าน้อยมาก คือได้พลังงานจากมื้อเช้าน้อยที่สุดเมื่อเทียบพลังงานที่ได้รับทั้งวัน คือแค่ 290 แคลอรี และมีคาร์โบไฮเดรตเพียง 7 กรัม

แต่ในกลุ่มที่ ดร. Jakubowicz ให้ทานอาหารเช้ามื้อใหญ่นั้นจะได้แคลอรีต่อวันถึง 1,240 แคลอรี โดยมีสัดส่วนไขมันน้อยกว่าแต่มีโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตมากกว่ากลุ่มที่ทานคาร์โบไฮเดรตต่ำ

มื้อเช้าของกลุ่มนี้ประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรต 58 กรัม ให้พลังงาน 610 แคลอรี ขณะที่มื้อเที่ยงและมื้อค่ำให้พลังงาน 395 และ 235 แคลอรี ตามลำดับ

4 เดือนผ่านไปพบว่ากลุ่มที่ทานคาร์โบไฮเดรตต่ำให้ผลดีกว่า คือ ลดน้ำหนักได้โดยเฉลี่ย 23-28 ปอนด์ เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ทานมื้อเช้ามาก

แต่หลังจาก 8 เดือน กลับพบว่าสถานการณ์กลับกันครับ กลุ่มที่ทานคาร์โบไฮเดรตต่ำกลับมีน้ำหนักโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 18 ปอนด์จากที่ลดลง ส่วนกลุ่มที่ทานมื้อเช้ามากกลับน้ำหนักลดลงเรื่อย ๆ โดยเฉลี่ยประมาณคนละ 16.5 ปอนด์

เมื่อลองคำนวณดูพบว่ากลุ่มที่ทานมื้อเช้ามากลดน้ำหนักได้ถึง 1 ใน 5 ของน้ำหนักตัว หรือประมาณ 20% ส่วนกลุ่มที่ทานคาร์โบไฮเดรตต่ำลดได้น้อยกว่า 5% ครับ

‘เมตาบอลิซึมต่ำลง’

ดร. Jakubowicz กล่าวว่า กลุ่มที่ทานมื้อเช้ามากต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า หิวน้อยลงตอนเช้า การศึกษาส่วนใหญ่บ่งชี้ว่าการลดน้ำหนักโดยการทานคาร์โบไฮเดรตน้อยไม่ใช่วิธีที่ดีเสมอไป เพราะจะยิ่งทำให้หิวมากขึ้นและเมตาบอลิซึมของร่างกายต่ำลง ผลที่ได้ก็คือ น้ำหนักจะลดลงในช่วงแรกแต่หลังจากนั้นสิครับ.. น้ำหนักจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

การทานอาหารเช้ามื้อใหญ่จะช่วยทำให้รู้สึกอิ่มกว่าไม่ทานตลอดทั้งวัน ดีต่อสุขภาพ และหากเพิ่มผลไม้ที่มีพวกไฟเบอร์เข้าไปด้วยจะยิ่งดีมากครับ

ดร. Alex Johnstone จากสถาบันวิจัย Rowett กล่าวว่า แม้บางรายงานวิจัยจะแสดงให้เห็นว่า การทานคาร์โบไฮเดรตต่ำจะช่วยลดน้ำหนักได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า การทานแบบนี้จะดีต่อร่างกายเราครับ

การที่คนกลุ่มนี้มีน้ำหนักตัวกลับมาเหมือนเดิม เนื่องจากการทานอาหารขึ้นอยู่กับมื้อใหญ่สองมื้อ ไม่ได้ลดที่ต้นตอปัญหา ซึ่งคือความอยากอาหารนั่นเอง

คาดว่าคนที่ทานคาร์โบไฮเดรตมากอยู่แล้วน่าจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินมาเป็น ทานให้มากหน่อยในมื้อเช้า ได้ง่ายและยาวนานกว่ากลุ่มอื่น

โฆษกสมาพันธ์โภชนาการอังกฤษ กล่าวว่า มีหลักฐานจำนวนมากแสดงให้เห็นว่าการทานมื้อเช้าแบบพอดี ๆ จะช่วยควบคุมน้ำหนักได้

สาเหตุุุุก็คือ ถ้าเราไม่รับประทานอาหารเช้า เราจะรู้สึกหิวในช่วงกลางวัน ทำให้เราหันไปสนใจอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูง อย่าง บิสกิต โดนัท พาสตา อะไรทำนองนั้นครับ…
ภาพประจำตัวสมาชิก
ยายหนู
แม่ไข่นกกระทา พ่อไข่จะละเม็ด
 
โพสต์: 2789
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.พ. 15, 2006 11:54 pm

โพสต์โดย ยายหนู » อาทิตย์ ส.ค. 30, 2009 4:59 am

อาหารเช้าป้องกัน "โรค+อ้วน"
มื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุด เพราะไม่เพียงเติมพลังงานให้ร่างกายและสมองให้พร้อมที่จะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพตลอดวัน อาหารเช้ายังป้องกันโรคเบาหวาน หัวใจและโรคอ้วนได้อีก

อาหารเช้าลดน้ำหนัก

 &nsbp; &nsbp;ใครที่ลดน้ำหนักอยู่ และคิดว่าการงดอาหารเช้าจะช่วยให้ผอมได้ คุณกำลังทำสิ่งที่ตรงกันข้าม การงดอาหารเช้าทำให้ร่างกายลดระบบเผาผลาญลง สมองจะหลั่งสารเคมีที่ชื่อว่า นิวโรเพปไทด์ วาย (neuropeptide Y) ซึ่งจะส่งสัญญาณให้คุณกินโดยไม่รู้ตัว มีภาวะที่เรียกว่า " อาการกินกลางคืน " (night eating syndrome) คือเมื่อเริ่มกินมื้อกลางวันแล้ว คุณจะหยุดไม่ได้จนกระทั่งเข้านอน



คนที่งดอาหารเช้ามักกินจุบจิบและเลือกอาหารที่กินสะดวก ซึ่งอาจมีไขมัน น้ำตาลและแคลอรีสูง นักวิจัยจากโรงเรียนแพทย์ฮาร์วาร์ดยืนยันว่า ไม่ว่าหญิงหรือชายที่กินอาหารเช้าทุกวันจะอ้วนยากกว่าคนที่งดอาหารเช้า นอกจากนี้ นักวิจัยจากโรงเรียนแพทย์แมทสาชูเสทยังพบว่า คนที่งดอาหารเช้าบ่อยๆ มีแนวโน้มจะอ้วนได้มากกว่าคนที่กินอาหารเช้าเป็นประจำถึง 450% ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ กลุ่มผู้หญิงที่กินอาหารเช้าที่มีแคลอรีมากกว่ามื้ออื่นๆ จะลดน้ำหนักลงได้ดีกว่า และ 78% ของคนที่ลดความอ้วนแล้วสามารถประคับประคองน้ำหนักให้คงที่ได้ เป็นพวกที่กินอาหารเช้าทุกวัน ทำไมการกินอาหารเช้าทำให้น้ำหนักลดได้ ยังไม่มีคำตอบชัดเจน รู้แต่เพียงว่า อาหารเช้าช่วยให้หิวน้อยตลอดวัน อย่างไรก็ตามคุณภาพและปริมาณอาหารเช้ามีความสำคัญ ควรจัดให้มีความสมดุลของสารอาหาร และเพื่อลดน้ำหนักจะต้องไม่กินมากเกินไป

อาหารเช้าลดโรค

การกินอาหารเช้าช่วยป้องกันโรคหัวใจ และน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งเป็นอาการเตือนของโรคเบาหวาน นอกจากนี้ยังช่วยลดอาการอ่อนเพลียได้อีกด้วย จากผลการวิจัยคนที่กินธัญพืชไม่ขัดสีทุกวันเป็นอาหารเช้ามานานกว่า 5 ปี จะมีอายุยืนขึ้น เพราะธัญพืชไม่ขัดสีมีสารแอนติออกซิแดนท์ ใยอาหารและปัจจัยอื่นช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังช่วยลดคอเลสเทอรอลในเลือดและความดันโลหิต ส่งเสริมให้ร่างกายใช้กลูโคสและฮอร์โมนอินซูลินได้ดีขึ้น ธัญพืชที่มีโปรตีนถั่วเหลืองผสมจะให้ประโยชน์ต่อร่างกายเพิ่มขึ้น เพราะโปรตีนถั่วเหลืองช่วยลดระดับคอเลสเทอรอลในเลือดได้ ส่วนอาหารที่มีองค์ประกอบของกรดโฟลิค วิตามินบี 6 และวิตามินบี 12 จะช่วยลดสารโฮโมซิสเตอีนในเลือดซึ่งเป็นอันตรายต่อหลอดเลือด

อาหารเช้าเพิ่มพลังสมอง

ระหว่างที่นอนหลับร่างกายเรายังคงใช้พลังงานตามปกติ พลังงานเหล่านั้นมาจากกลูโคสที่ร่างกายเก็บสะสมไว้ กว่าจะถึงเช้ากลูโคสมากกว่าครึ่งจะถูกใช้ไป ร่างกายจึงต้องการเติมพลังงาน ซึ่งอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตจะเป็นตัวเริ่มขับเคลื่อนพลังงานให้กับร่างกายได้ดีที่สุด

สมองของคนเราก็ใช้กลูโคสเป็นพลังงานด้วยเช่นกัน แต่สมองไม่สามารถเก็บสะสมกลูโคสส่วนที่เหลือได้เหมือนกับการที่ร่างกายสะสมพลังงาน ฉะนั้นอาหารเช้าจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะช่วยให้สมองเราทำงานได้เฉียบไว หากงดอาหารเช้า คุณอาจไม่รู้สึกอะไร เพราะมีพลังงานสำรองจากการพักผ่อน แต่พอใช้หมดไปร่างกายจะเข้าสู่ภาวะเครียด และแม้ว่าจะกินชดเชยในมื้อเที่ยง ก็สายเกินไป เพราะเวลาที่ร่างกายต้องการพลังงานส่วนนั้นได้ผ่านไปแล้ว

กินอะไรดีที่สุดสำหรับสมอง

นักวิจัยได้ลองให้ชาย - หญิง 22 คน อายุ 60-70 ปี ดื่มเครื่องดื่มที่มีคาร์โบไฮเดรตล้วนๆ โปรตีนล้วน ไขมันล้วน เครื่องดื่มทั้ง 3 ชนิดให้พลังงานช่วยให้การทำข้อสอบเกี่ยวกับความจำระยะสั้นดีขึ้น แต่ผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มคาร์โบไฮเดรตทำได้ดีที่สุด ในการทบทวนความจำหลังจากดื่มไป 1 ชั่วโมง ชี้ให้เห็นว่าคาร์โบไฮเดรตมีความสำคัญต่อการทำงานของสมอง

เมื่องดอาหารเช้า เราจะไม่ได้สารอาหารสำคัญที่ช่วยความจำตลอดวัน แม้แต่การขาดสารอาหารเพียงเล็กน้อย ประเภทกรดโฟลิค วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 ก็จะลดความจำลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออายุมากขึ้น คนสูงอายุจะดูดซึมวิตามินบี 12 ได้น้อยลง เป็นเหตุผลหนึ่งที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้คนที่อายุ 50 ปีขึ้นไปเสริมกรดโฟลิค ซึ่งมีมากในธัญพืชไม่ขัดสี ผักใบเขียวจัด ถั่ว น้ำส้มคั้น ฯลฯ

อาหารเช้าที่ควรใส่ใจ

ถ้าต้องการให้ร่างกายได้ประโยชน์จากอาหารเช้ามากขึ้น ควรพิจารณาเลือกชนิดอาหารที่มีองค์ประกอบดังนี้

คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ดีที่สุดสำหรับอาหารเช้า เพราะจะค่อยๆ ปลดปล่อยกลูโคสให้กับสมองโดยใช้เวลานานขึ้นในการย่อยและดูดซึม แนะนำให้เลือกธัญพืชไม่ขัดสีและผลไม้
โปรตีน อาหารทะเลให้กรดอะมิโน เพื่อผลิตสารสื่อข่าวสมอง ไข่อุดมไปด้วยโปรตีน วิตามินบีและโคลีนช่วยการทำงานเกี่ยวกับความจำ แม้ไข่มีคอเลสเทอรอลสูง แต่ไข่วันละฟองในมื้ออาหารที่สมดุลนั้น ข้อมูลการวิจัยเปิดเผยว่าไม่เป็นผลเสีย
อาหารแคลเซียมสูง เช่น นม โยเกิร์ต นมถั่วเหลือง หรือธัญพืชเสริมแคลเซียม น้ำส้มเสริมแคลเซียม ช่วยในการเผาผลาญไขมันและลดการสะสมไขมันในร่างกาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
ยายหนู
แม่ไข่นกกระทา พ่อไข่จะละเม็ด
 
โพสต์: 2789
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.พ. 15, 2006 11:54 pm

โพสต์โดย ยายหนู » อาทิตย์ ส.ค. 30, 2009 5:01 am

วันนี้คุณกินข้าวเช้าหรือยัง ขอบอกว่าสำคัญมาก

หมอที่โรงพยาบาลฯอบรมว่าทุกคนต้องกินอาหารเช้าให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ หลากหลาย เพราะเมื่อร่างกายไม่มีพลังงานจากอาหารเช้าไปใช้ ร่างกายจะดึงสารอาหารจากอวัยวะส่วนอื่นออกมา (ไม่ใช่ไขมัน ไขมันยังอยู่เหมือนเดิม) ซึ่งภายใต้กระบวนการนี้จะเกิดกรดชนิดหนึ่งออกมาด้วย ซึ่งการที่เราบอกว่าไม่กินข้าวเช้า ก็ยังทำงานได้เป็นปกติมาตั้งหลายปีแล้ว นั่นคือ ร่างกายได้นำเอากรดที่เกิดขึ้นมาใช้แทนพลังงานทุกวัน เราจึงทำงานโดยใช้กรดแทนพลังงาน และเมื่อร่างกายต้องผลิตกรดออกมาบ่อยๆ พออายุมากขึ้นเราก็จะเป็นโรคตามมาหลายอย่าง

นอกจากนี้ เรารู้หรือไม่ว่า โดยปกติแล้วร่างกายของมนุษย์เราผลิตสารพิษอยู่ภายในร่างกายตลอดเวลา เป็นขยะ เหมือนรถที่เมื่อเติมน้ำมันเข้าไปแล้วก็จะมีควันออกมา ภาษาทางการแพทย์เขาเรียกขยะในร่างกายนี้ว่า สารอนุมูลอิสระ(oxidant) เกิดจากการสันดาปพลังงานของร่างกาย แล้วคายของเสียออกมา(ไม่ใช่อุจจาระนะ คนละแบบ)

นอกจากนี้ร่างกายจะเร่งผลิตสารอนุมูลอิสระอีกก็ต่อเมื่อเวลาเราเครียดหรือต้อง ทำงานหนัก ใช้สมอง ประกอบกับเจอมลภาวะต่างๆ ภาพแวดล้อมที่เป็นพิษ อุปนิสัยการดื่มสุรา สูบบุหรี่ ยิ่งเป็นตัวสร้างให้เกิดสารพิษนี้มาก

การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอตอนกลางคืนเป็นหนทางและเวลาสำคัญที่ร่างกายจะสร้างสารต่อต้านสารอนุมูลอิสระ(anti-oxidant) ขึ้น เพื่อกำจัดสารอนุมูลอิสระที่เกิดตอนกลางวัน

การนอนให้เพียงพอและหลับสนิทจะเป็นประโยชน์ไม่เฉพาะการกำจัดของเสีย แต่ยังช่วยให้เม็ดเลือดแดงของคนเราแข็งแรง สร้างฮอร์โมนเพศทำให้ร่างกายสมบูรณ์ มีน้ำมีนวล

คุณหมอเอาภาพขยายเม็ดเลือดแดงของผู้จัดการชายอายุ 35 คนหนึ่งซึ่งเป็นคนไข้มาให้ดู เปรียบเทียบกัน 2 ภาพ ผู้ชายคนนี้เหมือนมนุษย์งานทั่วไป ทำงานหนักและเครียดขาดการพักผ่อนที่เพียงพอ ปรากฎว่าจำนวนเม็ดเลือดแดงของเขามีลักษณะเป็นก้อนขยุกขยุยไม่เป็นรูปทรงกลม เหมือนกลุ่มเม็ดเลือดแดงที่ควรเป็น เกิดความผิดปกติขึ้นเนื่องจาสารอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นจำนวนมากไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดงในร่างกาย ซึ่งก็จะนำมาซึ่งโรคร้ายจำนวนมากอย่างที่คนไทยกำลังนิยมอยู่

จงจำไว้ว่า

1.ทานอาหารเช้าแบบราชา อาหารกลางวันพอประมาณ และอาหารเย็นแบบยาจก หลีกเลี่ยงไขมันและของหวาน ออกกำลังกายให้ได้วันละอย่างน้อย 30-40 นาที(20 นาทีแรกร่างกายเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต อีก 10-20 นาทีต่อมาร่างกายจึงจะค่อยเผาพลาญไขมัน)

2.นอนหลับ หรือ หลับนอนก็แล้วแต่ ให้เพียงพอ

3.รับแสงแดด ช่วง 8.00-9.00 ซึ่งมี UV ที่เป็นประโยชน์

<span style='color:red'><span style='font-size:14pt;line-height:100%'>4.พยายามเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการหัวเราะ ขำขัน ถ้าบ้าได้ก็ดี ชีวีจะเป็นสุข</span></span> กร๊ากกกกกก.....



สรุปบางส่วนจากการฟังสัมมนา ณ ร.พ.บำรุงราษฎร์ โดยน.พ.พันธุ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
ยายหนู
แม่ไข่นกกระทา พ่อไข่จะละเม็ด
 
โพสต์: 2789
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.พ. 15, 2006 11:54 pm

โพสต์โดย Tuta Schweiz » อาทิตย์ ส.ค. 30, 2009 12:38 pm

รูปภาพ EM150 EM150
มาสนับสนุน และยกนิ้วให้อาหารเช้า และเอาอาหารเช้าที่กำลังโปรดมาฝากด้วยจ้า ง่ายๆ สำหรับวันที่ไม่มีเวลามาก สามารถเตรียมของใส่ตู้เย็นไว้ทำตอนเช้าได้ ชอบเผ็ดก็ลาดซอสพริกเข้าไปหรือ พริกไทย พริกป่น อร่อยเหาะ จริงไม่โม้

**อ๊อลืมไป แคนตาลูป กินแยกต่างหากจ้า ไม่ได้ทอดไปด้วยกัน แต่เอามาลงเพื่อรวมแคลอรี่ให้ดู P=Protine C= carb. F=fat
<a href="http://lilypie.com/"><img src="http://lb1f.lilypie.com/TikiPic.php/Adn8.jpg" width="100" height="80" border="0" alt="Lilypie - Personal picture" /><img src="http://lb1f.lilypie.com/Adn8p1.png" width="400" height="80" border="0" alt="Lilypie First Birthday tickers" /></a>
ภาพประจำตัวสมาชิก
Tuta Schweiz
แม่ไข่ยัดไส้ พ่อไข่ลูกเขย
 
โพสต์: 675
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ พ.ค. 02, 2009 7:44 pm
ที่อยู่: Switzerland

โพสต์โดย นิรินธนา » จันทร์ ส.ค. 31, 2009 3:43 am

Tuta Schweiz เขียน: รูปภาพ EM150 EM150
มาสนับสนุน และยกนิ้วให้อาหารเช้า และเอาอาหารเช้าที่กำลังโปรดมาฝากด้วยจ้า ง่ายๆ สำหรับวันที่ไม่มีเวลามาก สามารถเตรียมของใส่ตู้เย็นไว้ทำตอนเช้าได้ ชอบเผ็ดก็ลาดซอสพริกเข้าไปหรือ พริกไทย พริกป่น อร่อยเหาะ จริงไม่โม้

**อ๊อลืมไป แคนตาลูป กินแยกต่างหากจ้า ไม่ได้ทอดไปด้วยกัน แต่เอามาลงเพื่อรวมแคลอรี่ให้ดู P=Protine C= carb. F=fat

<span style='color:purple'>ตาหาเรื่อง พี่ตุ๊หนูมองว่าไอ่แดงๆน่ะเบค่อน 55555
แหม๊เห็นทีแรกนะไม่ยอมอ่าน แบบภาษาอังกฤษไม่ค่อยอยากอ่านอ่ะพี่ กร๊ากกกก ใช้verb to เดาเอา

พี่ยายหนูน่าร้ากกกกกกมากๆเลยพี่ หาไรดีๆมาฝากน้องๆ
แหะ แหะ แต่น้องสิดั๊นอดข้าวเช้าหนักมื้อเย็น กรรมมาตกที่พุงสิทีนี้ ย้วยไม่ยุบ


</span>
ภาพประจำตัวสมาชิก
นิรินธนา
แม่ไข่นกกระทา พ่อไข่จะละเม็ด
 
โพสต์: 2540
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 11, 2006 3:29 pm

โพสต์โดย MHUNTHOW » อังคาร ก.ย. 01, 2009 11:35 am

อ่านนี้แล้ว..แม่หมั่นโถก็ต้องทานอาหารเช้าแล้วสิค่ะ..จากที่ปกติไม่ทานเลย..
ทานแค่ขนมปังแยมนี้..พอมั้ยค่ะ?
<span style='font-size:14pt;line-height:100%'><span style='color:blue'><b>แค่เพียงคิดดี..ทำดี..คุณจะพบแต่สิ่งดีๆ..ในชีวิต..เราเชื่อมั่นเช่นนั้น</b></span></span><br><br><img src='http://i743.photobucket.com/albums/xx73/panpan1970/nico/1111.jpg' border='0' alt='user posted image' /><br><br><span style='color:purple'><span style='color:blue'><span style='font-size:14pt;line-height:100%'><span style='font-size:8pt;line-height:100%'><b><br>Nico Than น้องพี่หมั่นโถ ครับ</b></span></span></span></span>
ภาพประจำตัวสมาชิก
MHUNTHOW
แม่ไข่ตุ๋น พ่อไข่ต้ม
 
โพสต์: 297
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 12, 2008 9:24 pm

โพสต์โดย ยายหนู » พุธ ก.ย. 02, 2009 12:46 am

MHUNTHOW เขียน: อ่านนี้แล้ว..แม่หมั่นโถก็ต้องทานอาหารเช้าแล้วสิค่ะ..จากที่ปกติไม่ทานเลย..
ทานแค่ขนมปังแยมนี้..พอมั้ยค่ะ?

แม่หมั่นโถ ถ้าติดกาแฟทานขนมปังทาแยมหรือถั่วบดก็ได้ค่ะ ในปริมาณที่ทำให้อิ่มนานไปจนถึง 3-4ชั่วโมงค่ะ หรือจะเป็นโยเกิร์ตกับกล้วยหอมก็ดี ถ้าทานตามเมนูพี่ต่ายหรือแม่ตุ๊จะยิ่งดีใหญ่เลย เพราะเป็นอาหารที่ช่วยเผาผลาญไขมัน ขอให้ลดความอ้วนอย่างมีสุขภาพที่ดีนะคะ...

เมื่อก่อนพี่ก็เป็นคนที่ไม่ทานอาหารเช้าเหมือนกัน เนื่องจากไม่หิว เลยคิดว่าไม่จำเป็นต้องานก็ได้มั้งแล้วไม่หนักเอามื้อหลังเลิกงาน แต่หลังจากเริ่มลดความอ้วนเมื่อปีที่แล้ว และพี่ต่ายแนะนำว่าต้องทาน ก็เลยต้องฝืนทั้งๆที่ไม่หิว ฝึกจนชิน เดี๋ยวนี้ตื่นปุ๊บต้องทานปั๊บ ระบบขับถ่ายก็ดีขึ้นด้วย...
ภาพประจำตัวสมาชิก
ยายหนู
แม่ไข่นกกระทา พ่อไข่จะละเม็ด
 
โพสต์: 2789
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.พ. 15, 2006 11:54 pm

โพสต์โดย พัฒน์นรี » พุธ ก.ย. 02, 2009 5:14 am

ขอบคุณค่ะพี่ยายหนู
<a href='http://www.facebook.com/' target='_blank'><img src='http://a.imageshack.us/img830/482/40514961.gif' border='0' alt='user posted image' /></a>
ภาพประจำตัวสมาชิก
พัฒน์นรี
แม่ไข่หวาน พ่อไข่เค็ม
 
โพสต์: 1463
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ส.ค. 27, 2006 3:04 pm

โพสต์โดย tAd natchadapOrn » อาทิตย์ ก.ย. 13, 2009 2:51 pm

ขอบคุณค่ะพี่ยายหนู เข้ามาสนับสนุนอาหารเช้าด้วยคนค่ะ
และถ้าจะให้ดีสุดๆในหนังสือนาฬิกาชีวิต อ.สุทธิวัสส์ คำภา บอกว่าควรทานช่วง7.00-9.00ซึ่งเป็นช่วงเวลาหลักที่กระเพาะเราทำงานค่ะ ทานเวลานี้ได้กระเพาะเราจะแข็งแรง
ขอให้พี่ๆเพื่อนๆในครัวฯนี้รักษาดูแลสุขภาพของตัวเองและคนในครอบครัวให้มีสุขภาพดี ราศีแจ่มใส ไม่เจ็บป่วยนะคะ EM150 EM131
<span style='color:gray'><i><span style='font-size:14pt;line-height:100%'>วาง&deg;&deg;&deg;เบา&deg;&deg;&deg;ว่าง</span></i></span>
ภาพประจำตัวสมาชิก
tAd natchadapOrn
แม่ไข่ดาว พ่อไข่เจียว
 
โพสต์: 516
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ มิ.ย. 08, 2009 6:31 pm

โพสต์โดย ยายหนู » อาทิตย์ ก.ย. 13, 2009 5:05 pm

T@ddao1972 เขียน: ขอบคุณค่ะพี่ยายหนู เข้ามาสนับสนุนอาหารเช้าด้วยคนค่ะ
และถ้าจะให้ดีสุดๆในหนังสือนาฬิกาชีวิต อ.สุทธิวัสส์ คำภา บอกว่าควรทานช่วง7.00-9.00ซึ่งเป็นช่วงเวลาหลักที่กระเพาะเราทำงานค่ะ ทานเวลานี้ได้กระเพาะเราจะแข็งแรง
ขอให้พี่ๆเพื่อนๆในครัวฯนี้รักษาดูแลสุขภาพของตัวเองและคนในครอบครัวให้มีสุขภาพดี ราศีแจ่มใส ไม่เจ็บป่วยนะคะ EM150 EM131

ไช่แล้วค่ะ แถมได้ปล่อยปลาตรงตามเวลาทุกๆเช้าด้วย แต่จะเป็นปลาช่อน ปลาชะโด หรือปลาลูกคอก ก็ขึ้นอยู่ที่อาหารการกินนะคะ...
ภาพประจำตัวสมาชิก
ยายหนู
แม่ไข่นกกระทา พ่อไข่จะละเม็ด
 
โพสต์: 2789
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.พ. 15, 2006 11:54 pm

โพสต์โดย tAd natchadapOrn » อังคาร ก.ย. 15, 2009 9:37 am

พี่ยายหนู.ทัดก็รู้สึกดีทุกครั้งเลยค่ะที่ได้ปล่อยปลาหลังอาหารเช้าเกือบทุกวัน สังเกตนะยิ่งกินอิ่มอย่างดีเนี่ย ปล่อยง่ายจริงๆเลยค่ะ แต่ดูจากรูปพรรณสัณฐานแล้วเนี่ย ไม่รู้ปลาอะไรค่ะ สีมันออกเข้มๆ รูปร่างเพรียวๆ เกล็ดนี่ไม่รู้มีรึเปล่าไม่ได้สังเกตใกล้ๆดูซักที
อีกอย่างอาหารเช้าที่ทัดชอบกินประจำ คือ นมถั่วเหลือง กล้วยหอม ขนมปัง พอนมถั่วเหลืองหมดก็เปลี่ยนมากิน นมโยเกริตน้ำผึ้งมะนาว(สูตรล้างลำไส้เล็กน่ะค่ะ)ดีอย่างนะคะเคยสังเกตกินไปนานๆหน้าท้องลดไปได้เหมือนกัน นานๆทีถึงกินกาแฟ
แวะมาคุยน่ะค่ะเพราะชอบและสนใจทุกอย่างที่เกี่ยวกับเรื่องปลาๆเอ๊ย! สุขภาพน่ะค่ะ เอ๊ะปลาก็เกี่ยวนี่นา
<span style='color:gray'><i><span style='font-size:14pt;line-height:100%'>วาง&deg;&deg;&deg;เบา&deg;&deg;&deg;ว่าง</span></i></span>
ภาพประจำตัวสมาชิก
tAd natchadapOrn
แม่ไข่ดาว พ่อไข่เจียว
 
โพสต์: 516
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ มิ.ย. 08, 2009 6:31 pm

โพสต์โดย ยายหนู » อังคาร ก.ย. 15, 2009 4:07 pm

สวัสดีค่ะน้องทัด....เวลาปลอยปลาพี่คงดูชนิดของปลาผิดไป ความรู้สึกมันไม่น่าจะมีเกล็ดนะ แต่ถ้าบอกว่าเป็นปลาดุก หรือปลาสวาย พี่เสียวเหงี้ยงมันอ่ะ ปล่อยทีต้องระวัง...กร๊ากกก

พี่ก็สนใจอยู่นะสูตรล้างลำไส้นี้เนี่ย "นมโยเกิร์ตน้ำผึ้งมะนาว" พี่เคยลองใช้เวลาที่ปลาผิดนัด แต่ไม่ได้ทำตลอด อืม..เห็นทีว่าจะต้องเอาเป็นอาหารเช้าซะแล้วล่ะ

มีอะไรดีๆก็เข้ามาแนะนำกันบ้างนะคะ....
ภาพประจำตัวสมาชิก
ยายหนู
แม่ไข่นกกระทา พ่อไข่จะละเม็ด
 
โพสต์: 2789
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.พ. 15, 2006 11:54 pm

โพสต์โดย tAd natchadapOrn » พฤหัสฯ. ก.ย. 17, 2009 12:53 pm

555....หูยย!พี่....เคยมีนะช่วงทัดกินน้ำน้อย บวกกับเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด ปลาปักเป้ามารอเลยล่ะ แต่คนที่ออกกำลังกายบ่อยๆอย่างพี่ยายหนู คงไม่มีโอกาสได้ปล่อยไอ้ปลาประเภทนี้หรอกค่ะ
เปล่านะคะทัดไม่ได้มาคุยแค่เรื่องนี้ แฮ่ะๆ เอาประโยชน์ของเจ้าโยเกิต+นมสด+น้ำผึ้ง+มะนาว มาฝากค่ะ**<span style='color:purple'>

*****************สูตรนี้ตัวจุลินทรีย์ที่เกิดในโยเกิตจะช่วยย่อยไขมันจากนม และกินความหวานจากน้ำผึ้งเพื่อสร้างและเลี้ยงตัวจุลินทรีย์เองให้เติบโต นอกจากจะล้างลำไส้แล้ว ยังมีไขมันฝ่ายดีและจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
**********ถ้ากินเวลา13.00-15.00น จะไปช่วยย่อยขยะในลำไส้เล็กเพื่อเปลี่ยนขยะให้เป็น บี12 ส่งไปเลี้ยงสมองได้ดีมาก กินตอนเช้าจะลดความอ้วน กินตอนเย็นจะอ้วน
เมื่อผสมโยเกิตนมน้ำผึ้งมะนาว เสร็จแล้ว ควรตั้งทิ้งไว้สักพักหนึ่ง(15-30นาที)เพื่อให้จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ขยายตัวก่อนแล้วจึงดื่ม ถ้ากินในปริมาณ500ซีซี จะช่วยล้างถึงลำไส้ใหญ่ได้</span>
<span style='color:red'>**กินเป็น ลืมป่วย**อ.สุทธิวัสส์ คำภา</span>

พี่ยายหนู และเพื่อนๆหลายคนก็รู้จักสูตรนี้กันแล้ว แต่หลายคนเลยไม่ชอบรสชาติ ทัดว่ามันอร่อยดีค่ะ ให้เปรี้ยวไว้ก่อน ตามสูตรมะนาวครึ่งลูก ทัดก็ใช้มะนาว(เขียว)ทั้งลูกเลยล่ะค่ะให้หวานนิดๆก็พอ รอสักพักค่อยทานอย่างอื่นตามค่ะ
พูดถึง อาหารเช้ากินแล้วไม่ทำให้อ้วนเนี่ย ตอนกลับไปเมืองไทย ทัดไม่ค่อยแน่ใจน่ะค่ะ ก็ช่วงนั้นข้าวเหนียวทุเรียน แล้วบ้านก็อยู่ในตลาด มีแทบทุกอย่าง จำได้วันนั้นกินข้าวเหนียวทุเรียนแต่เช้า
เอ่อ คือ ทัดกินหลังอาหารเช้าซึ่งเป็นพวกข้าว กับข้าวก็พวกแกงพวกผัดน่ะค่ะ แถมข้าวเหนียวทุเรียนแม่ค้าก็แถมพิเศษ ทุเรียนเพียบ โห...คุ้มจริงๆค่ะ ทัดคงกินเกินราชาไปหน่อย เลยได้รับโทษ ต้องทนอืดไปทั้งวันค่ะ
กลับมานี่เลยจำเป็นต้องกินพวกสูตรล้างลำไส้สักพักใหญ่ๆค่ะ เหอๆๆ
<span style='color:gray'><i><span style='font-size:14pt;line-height:100%'>วาง&deg;&deg;&deg;เบา&deg;&deg;&deg;ว่าง</span></i></span>
ภาพประจำตัวสมาชิก
tAd natchadapOrn
แม่ไข่ดาว พ่อไข่เจียว
 
โพสต์: 516
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ มิ.ย. 08, 2009 6:31 pm

โพสต์โดย ยายหนู » พฤหัสฯ. ก.ย. 17, 2009 4:29 pm

ถ้าพี่เติมเกลือลงไปนิดๆเพื่อแต่งรสชาติ จะไปทำลายคุณค่าอย่างใดอย่างหนึ่งหรือไม่ สมันก่อนพี่ชอบกินยาระบาย พอมาเมื่อปีที่แล้วเริ่มลดความอ้วนไปอ่านเจอว่า กินชาระบายไม่ดี เพราะมันขับน้ำและจุรินทรีย์ออกไปหมด ทำให้อาหารที่เราทานเข้าไปเกิดการบูดเน่าและย่อยสลายช้า ซึ่งเป็นสาเหตุุของอาการท้องผูก อีกอย่างพี่ไม่ค่อยทานผักและผลไม้ด้วย

ตั้งแต่ลดความอ้วนมานี้ ได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง ปฏิบัติในสิ่งที่ถูกต้องและเหมาะสมกับร่างกายของตัวเอง ซึ่งผลไม้ที่ทานแล้วทำให้ระบายดีก็คือกล้วย สับปะรดและเกร็ปฟรุตเท่านั้น อย่างอื่นทานแล้วท้องอึดเนืองจากเคี้ยวไม่แหลก เพราะกาม เอ้ย กรามอยู่ไม่ครบ...

เราเป็นเด็กตลาดเหมือนกันเลย บ้านพี่อยู่ติดกับตลาดเลย(ตาคลี นครสวรรค์)
ภาพประจำตัวสมาชิก
ยายหนู
แม่ไข่นกกระทา พ่อไข่จะละเม็ด
 
โพสต์: 2789
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.พ. 15, 2006 11:54 pm

ต่อไป

ย้อนกลับไปยัง คลีนิคชาวครัว

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน