<span style='font-size:14pt;line-height:100%'><span style='color:red'>การลดน้ำหนักแบบถาวร</span></span>
การลดน้ำหนัก สามารถทำได้หลายวิธี แต่สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 แบบใหญ่ๆ คือ การลดน้ำหนักแบบชั่วคราว และการลดน้ำหนักแบบถาวร
หลายคนคงเคยเห็น การชั่งน้ำหนักของนักมวย ก่อนขึ้นชก ถ้าน้ำหนักเกินพิกัด นักมวยเหล่านั้น ก็จะพยายามลดน้ำหนักด้วยวิธีชั่วคราว เพื่อให้น้ำหนักอยู่ในพิกัด จึงจะสามารถขึ้นชกได้ การลดน้ำหนักแบบชั่วคราว ที่ให้ผลเร็วที่สุดก็คือ การนำ 'น้ำ' ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของร่างกายที่ทำให้เกิดน้ำหนัก ออกจากร่างกาย นักมวยเหล่านั้น อาจทำการกระโดดเชือก อบไอน้ำ ใส่เสื้อผ้า เพื่อห่อหุ้มร่างกาย เพื่อให้เหงื่อออกมากที่สุด แล้วจึงขึ้นชั่งน้ำหนักใหม่ และเมื่อชั่งน้ำหนักผ่านแล้ว มาดื่มน้ำสักแก้วสองแก้ว น้ำหนักก็จะกลับมาเหมือนเดิม
ดังนั้นการลดน้ำหนักวิธีนี้ จึงเป็นเพียงวิธีลดน้ำหนักเพียงชั่วคราว ไม่เกิดผลดีใดๆกับสุขภาพ แต่อาจมีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อย เมื่อยล้า จากการเสียเกลือแร่ควบคู่ไปกับเหงื่อด้วยเท่านั้น จุดประสงค์ของการลดน้ำหนักเพื่อสุขภาพ มุ่งหวังที่จะไปลดปริมาณไขมันเป็นสำคัญ มิใช่ไปลดกล้ามเนื้อ หรือปริมาณน้ำในร่างกาย
<span style='color:blue'>การลดน้ำหนัก ด้วยวิธีทานน้อยๆ แม้ว่าผู้ที่ตั้งใจจะลดน้ำหนักด้วยวิธีนี้ อยากให้น้ำหนักลดในระยะยาว แต่ผลที่ได้กลับตรงกันข้าม เนื่องจากธรรมชาติของมนุษย์ ต้องการอาหารเพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน ร่างกายจึงมีสัญญาณเตือน เมื่อพลังงานเริ่มลดน้อยลงด้วยอาการอยากในช่วงอดอาหารเมื่ออยากและหิวแต่ไม่ได้รับอาหารที่เพียงพอ น้ำหนักจึงลดลงเพราะร่างกายไปเอาพลังงานสำรองและจากกล้ามเนื้อออกมาใช้ เมื่อน้ำหนักลดลง ร่างกายก็จะปรับตัวให้เผาผลาญพลังงานน้อยลงไปด้วย เรียกช่วงนี้ว่าช่วงประหยัดพลังงาน "มีน้อยก็ใช้น้อย" น้ำหนักที่ลดลงไม่ไช่ไขมันแต่กลับเป็นกล้ามเนื้อ และเมื่อทานน้อยๆไปเรื่อยๆ บวกกับอายุที่เพิ่มขึ้น ก็เท่ากับว่าร่างกายสะสมไขมันเท่าตัว</span>
<span style='color:red'>คุณคงยอมรับว่า ไม่มีใครที่สามารถอดอาหารหรือทานน้อยๆไปได้ตลอดชีวิต ดังนั้น เมื่อถึงจุดหนึ่งร่างกายจะไม่สามารถทนการอดอาหารได้อีกต่อไปและเมื่อกลับมากินอาหารใหม่ มักจะกลับมากินในปริมาณที่มากกว่าเดิม หรือถึงแม้จะกลับมากินอาหารในปริมาณเท่าเดิม แต่ระบบการเผาผลาญได้ถูกปรับลดลงไปแล้ว อาหารที่กินเข้าไป จึงเป็นการรับเข้ามากกว่าใช้ออก ร่างกายก็จะนำไปเก็บสะสมไว้ในรูปของไขมันเพิ่มอีก...</span>
<span style='color:green'>ดังนั้น ผู้ที่ลดน้ำหนักด้วยการอดอาหารทนหิวและทานน้อยๆ เมื่อกลับมากินอาหารใหม่ มักจะกลับมาอ้วนอย่างรวดเร็วเนื่องจากเป็นการเพิ่งพลังงานให้คลังสำรอง จากสถิติพบว่า ส่วนใหญ่ จะกลับมามีน้ำหนักมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ ปรากฏการณ์เช่นนี้ เรียกว่า โย-โย่ เอฟเฟ็คท์ (Yoyo effect) ซึ่งมีผลเสียทั้งต่อสุขภาพทางกาย และสุขภาพทางใจ</span>
แม้ว่า ความอ้วนจะเป็นผลเสียต่อสุขภาพ แต่การมีน้ำหนักเปลี่ยนแปลงทีละมากๆ ตลอดเวลา กลับมีผลเสียมากกว่า โดยพบว่า อัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจขาดเลือดและเสียชีวิต เพิ่มสูงขึ้น ส่วนผลทางด้านจิตใจนั้น การที่ลดน้ำหนักแล้วกลับมามีน้ำหนักมากอีกครั้ง จะบั่นทอนความเชื่อมั่นในตัวเองของคุณ และทำให้กำลังใจของคุณลดน้อยถอยลงเรื่อยๆ และเมื่อเหตุการณ์เช่นนี้ เกิดขึ้นหลายๆ ครั้งเข้า คุณก็อาจหมดกำลังใจ และเลิกคิดที่จะลดน้ำหนัก ในที่สุดกลายเป็น คนอ้วน แบบถาวรไปเลย
การลดน้ำหนักด้วยการใช้ยา ก็เป็นไปในทำนองเดียวกัน คุณต้องยอมรับความจริงที่ว่า คุณไม่สามารถกินยาลดความอ้วนไปตลอดชีวิต ดังนั้น เมื่อใดที่คุณหยุดกินยา คุณก็จะกลับมาอ้วนใหม่ นอกจากนี้ ผลของยาลดความอ้วนส่วนใหญ่ มักได้ผลในประมาณร้อยละ 5-10 ของน้ำหนักตัวเท่านั้น แพทย์มักจะให้ยาเหล่านี้ กับผู้ป่วยในช่วงแรก เพื่อเป็นการช่วยผู้ป่วยในระยะแรกๆ เพื่อให้มีกำลังใจในการลดน้ำหนัก แต่ในระยะยาวแล้ว ยาเหล่านี้จะมีผลน้อยมาก และบางชนิด อาจมีผลเสีย จากการใช้ยาเหล่านี้ในระยะยาวได้
<span style='font-size:14pt;line-height:100%'><span style='color:purple'>การลดน้ำหนักให้ได้ผลแบบถาวร จึงจำเป็นต้องทำแบบค่อยเป็นค่อยไป ในเวลาที่เหมาะสมซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินอาหารและกิจกรรมในชีวิตอย่างถาวร ดังนั้น สิ่งที่คุณควรทำ ก็คือ ทำการศึกษาหาข้อมูลการลดน้ำหนักที่ถูกต้อง วางแผนการลดน้ำหนักของคุณเองโดยกำหนดเป้าหมายที่เป็นจริงปฏิบัติได้จริง เลือกช่วงเวลาในชีวิตของคุณที่เหมาะสมกับการเริ่มลดน้ำหนัก เข้าใจถึงจุดประสงค์ของการลดน้ำหนักโดยเน้นเรื่องสุขภาพเป็นสำคัญ เพื่อที่คุณจะไม่เลือกวิธีใดๆ ก็ตามที่บั่นทอนสุขภาพ เช่นวิธีอดอาหาร ดังที่ได้อธิบายมาแล้ว และสุดท้ายที่สำคัญมากก็คือ คุณจะต้องมีความสุขในช่วงระยะเวลาที่คุณลดน้ำหนักตัว สิ่งเหล่านั้น จะถูกนำมากล่าวโดยละเอียดในตอนต่อไป</span></span>
<span style='color:blue'>ที่มา : samunpai.com</span>