ครัวไกลบ้านได้ทำการปรังปรุงเวบไซต์ให้ใช้งานได้ง่ายขึ้นในระบบสมาร์ทโฟน และได้รวมข้อมูลเมนูอาหารและ สมาชิกจากทั้งเวบไซต์เก่าและใหม่เสร็จเรียบร้อยแล้ว

สมาชิกท่านไหนมีปัญหาไม่สามารถล็อกอินได้ ให้ทำการเปลี่ยนพาสเวิร์ดโดยคลิ๊กลิ้งค์นี้ ลืมรหัสผ่าน
ถ้าท่านใดมีชื่อสมาชิกมากกว่าหนึ่งชื่อแล้วต้องการรวมโพสทั้งหมดให้อยู่ในชื่อสมาชิกเดียว หรือมีปัญหาในการใช้เวบไซต์
สามารถส่งอีเมล์แจ้งรายละเอียดมาได้ที่ admin@kruaklaibaan.com หรือส่งข้อความได้ที่ user: sillyfooks

ถ้าชอบครัวไกลบ้าน อย่าลืมคลิ๊กไลค์เฟสบุ๊คให้ครัวไกลบ้านด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ

สมการความสุข

ห้องนี้สำหรับสมาชิกพูดคุย ปรึกษาปัญหาเรื่องสุขภาพค่ะ

โพสต์โดย ยายหนู » เสาร์ ต.ค. 10, 2009 9:17 am

ร่างกายสกปรก ชำระล้างด้วยน้ำได้ แต่ถ้าจิตใจที่สกปรกต้องเอาธรรมะมาชะล้าง...

ยายหนูอยากจะปล่อยวาง โดยเริ่มก้าวไปบนเส้นทางของธรรมะตั้งแต่บัดนี้ จนกว่าจะได้ไปทำสมาธิ นั่งวิปัสนากรรมฐาน ณวัดใดวัดหนึ่งในเมืองไทย...

<a href='http://johjai.manytv.com/videos/2156-_1_17_2551_.php' target='_blank'>สมการความสุข1</a>

<a href='http://johjai.manytv.com/videos/2172-_2_24_.php' target='_blank'>สมการความสุข2</a>
ภาพประจำตัวสมาชิก
ยายหนู
แม่ไข่นกกระทา พ่อไข่จะละเม็ด
 
โพสต์: 2789
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.พ. 15, 2006 11:54 pm

โพสต์โดย ไทยแท้แท้ » เสาร์ ต.ค. 10, 2009 1:52 pm

ขึ้นไปหาแม่พี่ที่เชียงใหม่สิ แม่พี่เขาไปปฎิบัติธรรมที่วัดอย่างสม่ำเสมอ บางช่วงเขาก็ไปอยู่วัดเป็นอาทิตย์เลย ไม่รู้ว่ายายหนูมีเบอร์มือถือแม่พี่มั้ย เขาให้ไว้หรือเปล่า
<br><span style='font-family:Times'><span style='color:blue'><span style='font-size:14pt;line-height:100%'>"It does not matter how slowly you go as long as you do not stop."</span></span></span> — <i>Confucius</i>
ภาพประจำตัวสมาชิก
ไทยแท้แท้
แม่ไข่หวาน พ่อไข่เค็ม
 
โพสต์: 1088
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ พ.ค. 13, 2007 11:13 pm

โพสต์โดย ยายหนู » อาทิตย์ ต.ค. 11, 2009 6:14 pm

พี่ต่าย...หนูมีนามบัตรอยู่ ต้องขอคิดดูก่อนว่าจะสะดวกไปทางไหน ขอบคุณค่ะ


ระยะหลังๆมานี่ ยายหนูพยายามมองดูความบกพร่องของตัวเองมากกว่าของคนอื่น แบบค่อยเป็นค่อยไปนะ บางครั้งคนอื่นบกพร่อง บางครั้งก็ตัวเราเอง ดังนั้นสิ่งที่เราต้องฝึกทำให้ได้ก็คือ ยอมรับความเป็นจริงของสัตว์โลกและต้องรู้จักปล่อยวาง เพราะนิสัยของตัวเองคือ เมื่อเลือกที่จะทำอะไรสักอย่าง สิ่งนั้นต้องถูกต้อง และเมื่อทำสำเร็จก็อยากแนะนำให้คนอื่นๆทำตามเราด้วย ซึ่งจริงๆแล้วน่าจะใช้คำพูดว่า "ก็อยากจะให้คนอื่นๆทำตามแนวทางนี้บ้าง" ท่าจะเหมาะกว่า แต่หลังจากมีบางคนขัดแย้งหรือทำในสิ่งที่ขัดกับหลักการณ์ที่เราคิดว่าถูกต้อง เราก็จะเกิดอาการต่อต้าน ไม่เห็นด้วยแล้วก็ชี้แนะว่า ที่ถูกต้องจะต้องเป็นแบบนี้ หรือใครจะมาโกหก สร้างเรื่อง เราอ่านแล้วก็จะทราบทันที เพราะมันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ คนอื่นอาจจะอ่านแล้วผ่าน แต่เราอ่านแล้วเกิดอาการ และไม่อยากคบด้วย เพราะไม่ชอบคนนิสัยแบบนี้ หลอกตัวเอง หลอกคนอื่น

และเนื่องจากเป็นคนที่ชอบพูดตรงๆ รู้สึกอย่างไร ก็พูดออกมาอย่างนั้น หวานไม่เป็น เอาอกเอาใจใครไม่เป็น การพูดการจาจึงออกมาแบบธรรมชาติ โพล่งๆ ตรงไปตรงมา หรือแม้แต่ตัวหนังสือก็เช่นกัน ซึ่งบ่อยครั้งก็สร้างความไม่พอใจให้แก่คนที่กำลังสนทนาอยู่หรือผู้อ่าน ถ้าเป็นคนที่กำลังคุยกัน ก็จะไล่ซะจนมุมและยอมรับความจริงไปเลยก็มี บางคนยอมได้ บางคนยอมไม่ได้ เพราะคิดว่าเหตุผลของฉันก็มี ก็เกิดอาการไม่พอใจเกิดขึ้น แล้วก็เลิกคุยกันไปในที่สุด.... แต่บางครั้งการที่ไม่ได้ตอบในคอมเม้นท์ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่ชอบคนนั้นนะ แต่เป็นเพราะลืมว่ากระทู้ไหน และไม่มีเวลาที่จะมานั่งอ่านทุกกระทู้ ทุกห้อง เนื่องจากมีงานที่ต้องทำ...

ย้อนกลับไปเมื่อสมัยเป็นคุณแม่ยังสาว เคยสอนหนังสือลูกๆและเด็กๆแถวบ้าน จนใครๆบอกว่าน่าจะไปเป็นครู ประมาณว่า "ปุ๋ยรักเดะเดะ" ใจเย็น สอนอะไรพวกเขาก็ทำตามกันอย่างว่าง่าย(ก็เด็กอ่ะ)การบ้านที่สอนไปคุณครูที่โรงเรียนตรวจแล้วก็ถูกหมด เราเป็นคนสอนก็ปลื้ม แล้วทำไมตอนนี้เราถึงเปลี่ยนเป็นคนละคน อะไรนิดอะไรหน่อยก็อารมณ์เสีย หงุดหงิด รับไม่ได้ ทำไม่ไม่คิดว่า พวกเขาไม่ไช่เด็กๆ ต่างคนต่างเป็นผู้ใหญ่ และต่างคนต่างมีแนวความคิดเป็นของตัวเอง ต่างคนต่างก็มีนิสัยที่แตกต่าง และถูกอบรมไม่เหมือนกัน สติปัญญาก็ไม่เท่ากัน เนี่ยจุดนี้แหละที่ยายหนูไม่เคยคิด...

แต่หลังจากที่ได้ลิ้งค์รายการเจาะใจนี้ กะว่าจะดูเพียงแค่ให้รู้ว่าออกแนวไหน แล้วจะเข้านอน แต่ยิ่งดูยิ่งน่าติดตาม สรุปดูจนจบทั้งสองตอนเลย และเข้านอนเกือบตี2 หัวถึงหมอนก็ยังคิด แต่คิดอีกด้านหนึ่ง ในมุมมองที่แตกต่าง ไช่ ที่ผ่านมาเป็นเพราะเราไม่รู้จักปล่อยวาง...

จากที่เคยคิดไว้ว่ากลับไปบ้านคราวนี้ จะชวนแม่ไปวัดและนั่งทำสมาธิในวันพระและถ้าสบายใจ อาจจะอยู่ถึง7วัน กลับกลายเป็นอยากนั่งวิปัสนากรรมฐาน 10วันขึ้นมาบ้าง เนื่องจากยอมรับว่า ร่างกายสกปรกเราสามารถชำระล้างออกด้วยการอาบน้ำได้ แต่จิตใจสกปรก เราต้องชำระล้างด้วยธรรมะสถานเดียว เพราะทุกวันนี้ ชอบเอาแต่เรื่องของคนอื่นเข้ามาครุ่นคิด ทำให้จิตใจขุ่นมัวอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้จักทำใจ ปล่อยวาง และมองโลกในแง่ดีบ้าง แล้วก็ม่อยหลับไป....

รู้สึกตัวอีกทีตี5 คิดอีก อยากจะลุกขึ้นมานั่งสมาธิ แต่...เขาเริ่มต้นกันอย่างไร ไม่มีความรู้ ไม่มีคนสอน ไม่มีใครแนะนำ แต่ก็เอาเถอะ ไหนๆเราก็เกิดความศรัทราแล้ว ลุกขึ้นมาระบายความในใจออกมาเป็นตัวหนังสือก็ยังดี....

โดยสัปดาห์แรกที่ถึงเมืองไทยจะต้องจัดพิธีบวชลูกชายแบบโกนหัวเข้าวัด ไม่จัดพิธีใหญ่โต หลังจากนั้นก็จะไปแก้บนที่เกาะช้างซึ่งบนเอาไว้ตั้งแต่ปี2000โน่น ขอให้เจอเนื้อคู่เป็นฝรั่งและได้มาอยู่เมืองนอก(นอนนั้นคิดว่าอยู่เมืองนอกสบาย) แล้วก็เจอจริงๆถึงแม้ว่าเขาผู้นั้นจะไม่ไช่เนื้อคู่ แต่เราก็เกิดมาเพื่อใช้หนี้กรรมเก่ากัน แต่ยายหนูก็ยังคิดว่าเขาคือผู้ที่มีพระคุณคนหนึ่ง ถ้าไม่มีเขาเราก็ไม่มีวันนี้ หลังจากนั้นก็จะเข้าวัดปฏิบัติธรรม...

สัปดาห์สุดท้ายก็จะอยู่รวมญาติเพราะตรงกับช่วงไหว้เจ้า...ส่วนการนัดเจอเพื่อนๆ ยายหนูไม่ค่อยมีปัญหาเพราะบ้านอยู่ตรงกลาง เข้ากรุงเทพก็ไม่ถึง2ชั่วโมง ไปโคราชก็แค่3ชั่วโมง..
ภาพประจำตัวสมาชิก
ยายหนู
แม่ไข่นกกระทา พ่อไข่จะละเม็ด
 
โพสต์: 2789
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.พ. 15, 2006 11:54 pm

โพสต์โดย ยายหนู » อาทิตย์ ต.ค. 11, 2009 11:22 pm

ช่างมัน โดยท่าน ว. วชิรเมธี

จงอย่าแบกความคาดหวัง เรามีหน้าที่เพียงแต่ทำเหตุให้มันดี ส่วนผลจะเป็นอย่างไรอย่ากังวล

ว. วชิรเมธี : ใครที่บอกว่า ‘ช่างมัน’ แสดงว่าจะต้องผ่านอะไรมาหนักหนามาก แล้วคนที่จะหลุดคำว่า ‘ช่างมัน’ ออกมาได้ อาตมาเชื่อว่ามันไม่ได้หลุดเฉยๆ นะ แต่จะต้องมีอะไรมาปะทะแรงๆ ทั้งข้างนอกข้างใน สุดท้ายพอบอกว่า ‘ช่างมัน’ ตรงนี้เป็นช่วงที่เราเป็นตัวของตัวเอง พอเราเป็นตัวของตัวเองเท่านั้น ความคาดหวังที่มันอยู่บนไหล่ของเรามันก็พังลงไปหมด

วิธีคิดแบบช่างมันนี้ เป็นวิธีคิดที่ดีมากวิธีหนึ่ง หากเอาธรรมะเข้าจับคำว่า ‘ช่างมัน’ ก็คือการปล่อยวางนั่นเอง ปล่อยวางอะไร ก็คือปล่อยวางทุกสิ่งที่เราแบกแล้วมันทำให้ทุกข์นั่นแหละ

การแบกทุกรูปแบบไม่ว่าแบกคน แบกของ แบกสถานภาพ แบกความคาดหวัง และแบกภาพลักษณ์ ล้วนทำให้เกิดความทุกข์ แล้วแต่ว่าใครจะแบกอะไร แต่แบกแล้วหนักใจที่สุดคือแบกความคาดหวัง

นักกีฬาโอลิมปิค นักฟุตบอลทีมชาติ นายกรัฐมันตรี นักเรียนที่กำลังเอนทรานซ์ สาวงมาที่เข้าประกวดชิงมิสเวิลด์ ดาราที่แบกเรตติ้งของละครที่ตัวเองเล่น เซลส์แมนที่ต้องทำยอดขายให้ทะลุเป้า อัจฉริยบุคคลที่ต้องแบกชื่อเสียงตลอดเวลา คนเหล่านี้คือตัวอย่างของผู้ที่ทุกข์เพราะแบกความคาดหวัง

พอเราไม่แบกความคาดหวังเสียได้ ชีวิตก็เบา ก็เรียบง่าย ใดปลอดโปร่ง สุขภาพกายสุขภาพจิก็ดีโดยอัตโนมัติ
ในทางพระท่านสอนว่า จงอย่าแบกความคาดหวัง เรามีหน้าที่เพียงแต่ทำเหตุให้มันดี ส่วนผลเป็นอย่างไรอย่ากังวล

พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า แม่ไก่ที่ดี ทำหน้าที่เพียงฟักไข่ ไม่ต้องอธิษฐานหรอก ถ้าอุณหภูมิพอดี ไม่นานลูกน้อยก็จะกะเทาะกระเปาะฟองออกมาเอง นี่คือการเรียนรู้ที่จะปล่อยวางอย่างเป็นธรรมชาติ วิธีนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งให้จำง่ายว่า ‘ทำเหตุให้มาก ปล่อยวางในผล’

ตัวอย่างของการปล่อยวาง

เหมือนเราอยากให้กุหลาบผลิดอกสะพรั่ง หน้าที่ของเราคือรดน้ำพรวนดิน ใส่ปุ๋ย ไม่ต้องอ้อนวอนให้กุกลาบออกดอกหรอก ถ้าเราทำเหตุดีแล้ว เมื่อเหตุปัจจัยแวดล้อมพรั่งพร้อม เดี๋ยวผลมันจะแสดงตัวออกมาให้เห็นเอง การปล่อยวางที่ถูกต้องจะเกิดขึ้นหลังจากการพยายามสร้างเหตุมาเป็นอย่างดีแล้ว จากนั้นจึงปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามกลไกของธรรมชาติ โดยที่เราไม่ต้องเข้าไปแทรกแซง
ภาพประจำตัวสมาชิก
ยายหนู
แม่ไข่นกกระทา พ่อไข่จะละเม็ด
 
โพสต์: 2789
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.พ. 15, 2006 11:54 pm

โพสต์โดย ไทยแท้แท้ » จันทร์ ต.ค. 12, 2009 2:28 pm

รู้สึกตัวอีกทีตี5 คิดอีก อยากจะลุกขึ้นมานั่งสมาธิ แต่...เขาเริ่มต้นกันอย่างไร ไม่มีความรู้ ไม่มีคนสอน ไม่มีใครแนะนำ แต่ก็เอาเถอะ ไหนๆเราก็เกิดความศรัทราแล้ว ลุกขึ้นมาระบายความในใจออกมาเป็นตัวหนังสือก็ยังดี....


วิธีนั่งสมาธิหาได้ไม่ยากบนอินเตอร์เนท แต่จะสอนจะแนะนำให้ตรงนี้เลยก็ได้ เริ่มแรกก่อนจะนั่งสมาธิ ยายหนูควรสวดมนต์ ทำวัตรเช้า หรือจะท่องคาถาชินบัญชร (หรือเปิดเทปธรรมะฟัง อะไรก็ได้ที่จะทำให้จิตเราคลายจากความคิดที่ฟุ้งซ่าน) ทางที่ดี ควรสวดมนต์แบบออกเสียง เพื่อนำจิตใจเราให้อยู่กับตัวในขณะที่เราสวดมนต์ เมื่อสวดจบแล้ว ก็ให้นั่งขัดสมาธิบนพื้น หลังตรง ไม่ต้องโน้มไปข้างหน้าหรือข้างหลังมากเกินไป สบายๆนะ หลับตาลงเบาๆ อย่าบีบหนังตาจนแน่น มือวางซ้อนกันบนหน้าตัก เมื่อเรานั่งได้ตามที่ตัวเองรู้สึกดีแล้ว ก็ให้กำหนดลมหายใจเข้าออก บางคนชอบกำหนดโดยใช้คำว่า 'พุทโธ' เมื่อหายใจเข้าให้กำหนดว่า "พุท" หายใจออก กำหนดว่า "โธ" การหายใจนั้นก็ให้ทำอย่างปรกติ คือไม่ต้องช้าหรือเร็ว ทีนี้ก็ให้เราตามดูลมหายใจว่า เวลาหายใจเข้า มันเริ่มจากปลายจมูก เข้าไปในหน้าอกและลงไปจนถึงในท้อง เวลาหายใจออกก็เช่นกัน คือออกจากท้องขึ้นมาที่หน้าอกและออกทางปลายจมูก ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ระหว่างที่เราทำนั้น แน่นอนจิตใจเราต้องมีการวอกแวก ตามประสาของจิตที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ก็ให้เรารู้เท่าทันจิตของเราว่า อ้อ... นี่เราไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้อีกแล้วนะ เมื่อเรารู้ทันจิตอย่างนี้แล้ว ก็ให้เรานำจิตของเรากลับมาอยู่กับการกำหนดลมหายใจใหม่ บางคนอาจจะรู้สึกหงุดหงิดในครั้งแรกๆว่า โอย... ทำไมจิตไม่อยู่นิ่งซักที ก็อย่าได้ไปหงุดหงิด ให้เพียงแต่รู้ทันมันว่า อ๋อ... จิตมันก็เป็นอย่างนี้เอง ไม่หยุดนิ่ง ไม่เป็นไร เอามันกลับมาอยู่กับลมหายใจใหม่

เรื่องการกำหนดลมหายใจด้วย'พุทโธ'นี้ ก็ไม่ได้เป็นกฎตายตัว ขึ้นอยู่ที่ว่า ใครจะถูกใจกับแบบไหน อย่างที่พี่เรียนมาจากวัดมาบจันทร์ ท่านบอกว่า ใช้วิธีการนับเลขก็ได้ (ซึ่งถูกกับพี่มากกว่าการท่องพุทโธ) วิธีนี้ให้ทำด้วยการนับลมหายใจเข้าออก คือเมื่อหายใจเข้าก็นับ 1 หายใจออกก็นับ 1 พอหายใจเข้าอีกทีก็นับ 2 ออกก็นับ 2 พอเรานับลมหายใจเข้าออกไปได้ถึงเลข 5 แล้ว ก็ให้เริ่มรอบใหม่ คือมานับเข้า 1 ออก 1 ใหม่ แต่รอบสองนี้ให้นับไปจนถึง 6 พอถึง 6 แล้ว ก็ให้เริ่มรอบใหม่อีก แต่นับจนถึง 7 ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนถึงเลข 10 ฟังดูเหมือนจะง่ายใช่มั้ย แต่ไม่ง่ายเลย เพราะระหว่างที่เรานับนั้น จิตใจเรามันจะคอยหนีไปเที่ยว แต่เมื่อเรารู้ทันว่า อ้อ... จิตเราหนีไปเที่ยวอีกแล้ว พระท่านก็บอกว่าเราห้ามขี้โกง เราต้องกลับไปเริ่มรอบแรกใหม่ คือนับ 1-5 ใหม่ เมื่อทำนานเข้า จิตของเราก็จะสงบลง

อีกวิธีก็คือ การตามลมหายใจเข้าออกแบบ 'ยุบหนอ พองหนอ' คือหายใจเข้าท้องป่อง หายใจออกท้องแฟบ ให้เรากำหนดจิตไว้ตามความรู้สึกขึ้นลงของท้องเราเอง พอเราหายใจเข้า ก็ให้รู้สึกว่าท้องพอง แล้วท่องว่า 'พองหนอ' เมื่อหายใจออก ก็ให้รู้สึกว่าท้องเราแฟบลง แล้วท่องว่า 'ยุบหนอ'

ส่วนใหญ่การปฎิบัติธรรมนี้จะต้องมีการเดินจงกรมร่วมด้วย เพราะการที่เรานั่งอย่างเดียวอาจจะทำให้เราเกิดการง่วงเหงาหาวนอน ผู้ที่ต้องการฝึกอย่างจริงจัง จึงต้องเปลี่ยนจากการนั่งมาเป็นการเดินบ้าง วิธีการเดินจงกรมก็เช่นกัน คือเราต้องเอาจิตของเรามาไว้ที่เท้าทั้งสองข้าง เริ่มด้วยการยกเท้าเดินอย่างช้าๆ ตามองดูเท้าในขณะที่เดิน เมื่อเรายกเท้าขึ้นจากพื้น ก็ให้เรากำหนดว่า 'ยกหนอ' พอเราย่างเท้าไปข้างหน้า ก็กำหนดว่า 'ย่างหนอ' พอเราเหยียบเท้าลง ก็กำหนดว่า 'เหยียบหนอ' พอเท้าเราแตะพื้น ก็กำหนดว่า "แตะหนอ' การทำเช่นนี้จะทำให้จิตอยู่กับตัวเราตลอดเวลา

ลองทำดู แรกๆอาจจะได้ไม่นาน แต่เมื่อฝึกบ่อยๆ จิตจะสงบและนั่งได้นานขึ้น ได้ฟังเทปและอ่านหนังสือที่พี่ให้ไปมั่งหรือเปล่าล่ะ หนังสือเล่มนั้นดีมากนะ
<br><span style='font-family:Times'><span style='color:blue'><span style='font-size:14pt;line-height:100%'>"It does not matter how slowly you go as long as you do not stop."</span></span></span> — <i>Confucius</i>
ภาพประจำตัวสมาชิก
ไทยแท้แท้
แม่ไข่หวาน พ่อไข่เค็ม
 
โพสต์: 1088
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ พ.ค. 13, 2007 11:13 pm

โพสต์โดย tewatera » จันทร์ ต.ค. 12, 2009 2:55 pm

<span style='color:red'>จากที่เคยคิดไว้ว่ากลับไปบ้านคราวนี้ จะชวนแม่ไปวัดและนั่งทำสมาธิในวันพระและถ้าสบายใจ อาจจะอยู่ถึง7วัน กลับกลายเป็นอยากนั่งวิปัสนากรรมฐาน 10วันขึ้นมาบ้าง</span>

น้องเอามาฝากพี่ค่ะ
<a href='http://www.jarun.org/v6/th/home.html' target='_blank'>http://www.jarun.org/v6/th/home.html</a>
<span style='font-size:14pt;line-height:100%'><span style='color:purple'><b>ความสุขอยู่ใกล้แค่ใจเรา</b></span></span><a href='http://www.glitter-graphics.com' target='_blank'><img src='http://dl7.glitter-graphics.net/pub/517/517117grkpbyjcvm.gif' border='0' alt='user posted image' /></a>
ภาพประจำตัวสมาชิก
tewatera
แม่ไข่ยัดไส้ พ่อไข่ลูกเขย
 
โพสต์: 699
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ มี.ค. 07, 2009 10:58 pm

โพสต์โดย ยายหนู » อังคาร ต.ค. 13, 2009 3:13 am

ท่านพุทธทาสภิกขุแห่งสวนโมกข์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'><span style='color:red'>ทำไมเราจึงไม่ควรกินเนื้อสัตว์?</span></span>

เพราะเป็นการปฏิบัติเพื่อยึดเอาประโยชน์ทั้งฝ่ายโลกและฝ่ายธรรม การไม่กินเนื้อสัตว์เป็นทางก้าวหน้าของสัมมาปฏิบัติอย่างหนึ่ง ซึ่งได้ผลมาก โดยลงทุนทางวัตถุน้อยที่สุดแต่ให้ผลมากทางใจ
ประโยชน์ทางฝ่ายธรรม

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'><span style='color:blue'>ข้อที่ ๑ เป็นการเลี้ยงง่ายยิ่งขึ้น</span></span>
เพราะพวกพืชผัก เป็นของหาง่ายในหมู่คนยากจนเข็ญใจ ซึ่งมีการปรุงอาหารด้วยผักเป็นพื้น นักกินผักย่อมไม่มีเวลาไปกระวนกระวายเพราะอาหารไม่ค่อยจะถูกปากถูกลิ้นนักเลย ในขณะที่นักกินเนื้อมักต้องเลียบๆ เคียงๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งภัตตาหารเนื้อบ่อยๆ ญาติโยมเสียไม่ได้ในท่าทีก็พยายามหามาถวายศรัทธาญาติโยมที่มีใจเป็นกลาง เคยปรารภกับข้าพเจ้าหลายต่อหลายครั้งว่า เขาสามารถจะเลี้ยงพระได้ถึง ๕๐ รูป โดยไม่รู้สึกลำบากอะไรเลย หากเป็นอาหารที่ไม่เกี่ยวกับเนื้อกับปลา แต่ที่ผ่านมาต้องฝืนใจทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อย่างมากๆ ไม่ใช่ว่าจะคิดว่า เนื้อมีราคาแพงกว่าผักแต่เป็นเพราะรู้ว่าสัตว์ถูกฆ่าตาย เพื่อการทำบุญเลี้ยงพระของเรามีอีกหลายคน ที่ทีแรกค้านว่าการทำอาหารมังสวิรัติวุ่นวายลำบาก แต่เมื่อได้ทดลองทำไป ๒-๓ ครั้ง กลับสารภาพว่าเป็นการง่ายเสียยิ่งกว่าง่าย เพราะบางคราวไม่ต้องไปติดไฟเลยก็มี ตัณหาของนักกินผักกับกินเนื้อมีความแตกต่างกันอย่างไร จะกล่าวในข้อหลังเฉพาะข้อนี้ขอจงทราบไว้ว่า
“คนกินเนื้อสัตว์ เพราะแพ้รสตัณหา
กินเพราะตัณหา ไม่ใช่เพราะเลี้ยงง่าย”

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'><span style='color:green'>ข้อที่ ๒. เป็นการฝึกในส่วน “สัจธรรม”</span></span>
คนเราห่างไกลจากความพ้นทุกข์ก็เพราะมีนิสัยเหลวไหลต่อตัวเอง สัจจะในการกินผักนั้นเป็นแบบฝึกหัดที่น่าเพลินบริสุทธิ์ ได้ผลสูงเกินกว่าที่คนไม่เคยทดลองจะคาดถึง พืชผักเป็นอาหารที่จะหล่อเลี้ยง “ดวงธรรมแห่งสัจจะ”ในใจของเราให้สมบูรณ์แข็งแรงดังนั้นการฝึกกินผัก อาหารพืชผักจึงเป็นแบบฝึกหัดสำหรับผู้ปฏิบัติธรรม ที่ยอดเยี่ยมกว่าแบบฝึกหัดอย่างอื่นๆ เพราะแบบฝึกหัดบางอย่างค่อนข้างง่าย แต่บางอย่างก็ยากเกินจะฝึกทำให้ไม่สามารถนำมาเป็นเกมฝึกหัดประจำทุกๆวัน แต่เราผู้ปฏิบัติธรรมต้องฝึกทุกวันจึงจะได้ผลเร็ว เหตุฉะนี้การฝึกใจด้วยเรื่องอาหารอันเป็นสิ่งที่เราต้องบริโภคอยู่ทุกวันจึงเหมาะมาก อย่าลืมพระพุทธภาษิตที่มีใจความว่า
“สัจจะเป็นคู่กับผ้ากาสาวพัสตร์”

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'><span style='color:purple'>ข้อที่ ๓.เป็นการฝึกในส่วน“ทมะ”ธรรม</span></span>
“ทมะ” คือ การข่มใจให้อยู่ในอำนาจ คนเราเป็นทุกข์เพราะตัณหาอันได้แก่ ความอยากที่ข่มใจไว้ไม่อยู่ มีข้อพิสูจน์เฉพาะเรื่องผักกับเนื้อง่ายๆ เช่นข้าพเจ้าเคยเห็นชาวบ้านที่มาจากป่าดอนสูงๆ อุตสาห์หาบเอาพวกพืชผักลงมาแลกปลาแห้งๆ จากชาวบ้านแถบริมทะเลขึ้นไปกินทั้งๆ ที่ต้องเสียเวลาเป็นวันๆ ในขณะที่กลางบ้านของเขาก็มีอาหารพวกพืชผัก เผือก มัน ฟัก มะพร้าวฯลฯ อย่างอุดมสมบูรณ์ อีกทั้งอาหารเหล่านี้ยังเป็นของสด สามารถบำรุงร่างกายได้มากกว่าปลาแห้งๆ และขึ้นราที่พวกเขาสู้อุตส่าห์ลงมาหามหิ้วขึ้นไปเก็บไว้กินเป็นไหนๆดังนั้น… ผู้ที่ไม่มีการข่มรสตัณหาจักต้องเป็นทาสของความทุกข์ และถอยหลังต่อการปฏิบัติธรรม เหตุนี้การข่มจิตด้วยเรื่องอาหารการกินจึงเหมาะมาก เพราะจะมีการข่มได้ทุกวันการข่มจิตอยู่เสมอเป็นของคู่กับผ้ากาสาวพัสตร์เช่นกัน

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'><span style='color:red'>โปรดทราบ!</span></span> ว่ามันเป็นการยากยิ่งที่คนแพ้ลิ้นจะข่มตัณหา โดยพยายามเลือกกินแต่ผักจากจานอาหารที่เขาปรุงด้วยเนื้อ และผักปนกันมาจงยึดเอาเกมกีฬาฝึกข่มจิต ที่เป็นเครื่องชนะตนอันนี้เถิดการเลี้ยงพระในงานต่างๆ ข้าพเจ้าเคยเห็นเคยได้ยินเสียงเอ็ดตะโร เรียกเอาแต่อาหารเนื้อส่วนอาหารผักล้วนดูเหมือนว่าเป็นการยากที่จะถูกเลือกกับเขา มิหนำซ้ำยังเหลือกลับไปอีก แมกระทั่งอาหารที่ปรุงระคนกันมาก็หายไปแต่ชิ้นเนื้อคงเหลือแต่ผักติดจานกลับไป และยิ่งไปกว่านั้น ก็คือควรรู้ไว้ด้วยว่าบรรดาพ่อครัวแม่ครัวและเจ้าภาพเขารู้ตัวก่อนด้วยซ้ำไป จึงปรุงอาหารเนื้อสัตว์เอาไว้ให้มากกว่าอาหารผักหลายเท่านัก ทั้งนี้ก็เพราะตัณหาทั้งของฝ่ายแขกเหรื่อชาวบ้าน และฝ่ายบรรพชิตทั้งหลายร่วมมือกัน “แบ่งอิทธิพล”

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'><span style='color:blue'>ข้อที่ ๔. เป็นการฝึกในส่วน “สันโดษ”</span></span>
สันโดษ คือ ความพอใจเฉพาะสิ่งที่มีอยู่ตามฐานะของตน โดยทั่วไปชีวิตของผู้ออกบวชย่อมดำรงอยู่ด้วยอาหารชั้นเลว ทว่าข้าพเจ้าเคยเห็นบรรพชิตบางรูป เว้นไม่ยอมรับอาหารจากคนจนเพราะเห็นว่าเลวเกินไป คือเป็นเพียงผักหรือผลไม้ชั้นต่ำ และถึงแม้จะรับมาก็เพื่อทิ้ง นี่เป็นตัวอย่างของผู้ที่ไม่เคยมีความสันโดษหรือถ่อมตนดังนั้น… การฝึกเป็นนักกินผัก กินอาหารอย่างง่ายๆ จะแก้ได้หมด “สันโดษเป็นทรัพย์อย่างเอกของบรรพชิต”

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'><span style='color:green'>ข้อที่ ๕. เป็นการฝึกในส่วน “จาคะ”</span></span>
จาคะ คือ การสละสิ่งที่เป็นข้าศึกต่อความสงบหรือความพ้นทุกข์ นักกินผักที่แท้จริงมีดวงจิตบริสุทธิ์ผ่องใส เกินกว่าที่จะมีใจนึกอยากในเรื่องจะบริโภคอาหารที่มีรสหลากหลาย เพราะผักไม่ยั่วในการบริโภคมากไปกว่ากินเพื่ออย่าให้ตาย ซึ่งต่างไปจากเนื้อสัตว์ที่ยั่วให้ติดรสและมัวเมาอยู่เสมอ
ความอยากในรสที่เกินจำเป็นของชีวิตความหลงใหลในรส ความหงุดหงิด เมื่อไม่มีเนื้อที่อร่อยมาเป็นอาหาร ฯลฯ เรื่องเหล่านี้ข้าพเจ้ารับรองได้ว่า ไม่มีดวงจิตของนักกินผักเลย ส่วนนักกินเนื้อนั้น ท่านจะทราบของท่านได้เองเป็นปัจจัตตัง เช่นเดียวกับธรรมะอย่างอื่นๆ

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'><span style='color:purple'>ข้อที่ ๖. เป็นการฝึกในส่วน “ปัญญา”</span></span>
ปัญญา คือ ความรู้เท่าทันดวงจิตที่กลับกลอก การใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นโทษของการยึดมั่น และให้ใจละวางความยึดมั่นในการกินอาหาร แบบฝึกหัดที่ยากและเป็นก้าวที่ใหญ่ของการปฏิบัติธรรมเช่นนี้ ไม่มีอะไรดีไปกว่าการฝึกบริโภคอาหารผัก ที่จะเป็นอารมณ์อันบังคับให้ท่าน ต้องใช้พิจารณาตัวเองอยู่เสมอทุกมื้อเพราะเนื้อทำให้หลงในรส ส่วนผักทำให้ยกใจขึ้นไป ซึ่งเหมาะแก่สันดานของสัตว์ผู้มีกิเลสย้อมใจจนจับแน่นเป็นน้ำฝาดมาแต่เดิมปัญญาของท่านต้องรู้อยู่เสมอว่า ไม่ใช่จะไปนิพพานได้เพราะกินผัก เป็นแต่การกินผักจะช่วยขัดเกลากิเลสทุกๆ วัน

แท้จริงแล้วข้าพเจ้าไม่ได้มีความเห็นว่าฝ่ายที่จะช่วยขัดเกลาจิตใจต้องเป็นผักความจริงอาจจะถือว่า ผักเป็นอาหารชั้นเลวหรือไม่ประณีตก็พอแล้ว แต่เมื่อมาพิจารณาใคร่ครวญให้ดีแล้วมันมาตรงกับอาหารผัก เพราะจะทำอย่างไร เนื้อก็เป็นของชวนกินเพียงแต่ต้มเฉย ๆ พอได้กลิ่นมันก็ยั่วตัณหาอยู่ดี!เพราะฉะนั้นฝ่ายที่จะปราบตัณหา จึงกลายเป็นเกียรติยศของผักไป อาหารผักเป็นอาหารที่ข่มตัณหาได้และมีแต่ความบริสุทธิ์จึงเหมาะสม สำหรับผู้ที่ระแวงภัย และตั้งอยู่ในความไม่ประมาทอยู่เสมอ

ผลดีในฝ่ายโลก อาหารผักมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายยิ่งกว่าเนื้อสัตว์หรือไม่? เรื่องนี้วิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน ก็บอกแก่เราชัดแจ้งอยู่แล้วว่าอาหารผัก จะทำให้ผู้บริโภคมีกำลังแข็งแรงโรคน้อย ดวงจิตสงบ ช่วยให้ความกระหาย ในความอยาก ความโกรธ ความมัวเมา บรรเทาลงเป็นอันมาก
ภาพประจำตัวสมาชิก
ยายหนู
แม่ไข่นกกระทา พ่อไข่จะละเม็ด
 
โพสต์: 2789
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.พ. 15, 2006 11:54 pm

โพสต์โดย ยายหนู » อังคาร ต.ค. 13, 2009 3:28 am

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'><span style='color:red'>ข้อเปรียบเทียบระหว่างอาหารเนื้อสัตว์กับอาหารมังสวิรัติ</span></span>

1. เนื้อสัตว์
เป็นอาหารที่มีสกุลต่ำ เกิดจากกิริยาอาการของกามราคะ โทสะ โมหะเป็นอาหารที่ไม่บริสุทธิ์โดยธรรมชาติ
อาหารธรรมชาติ
เป็นอาหารสกุลสูง เกิดจากกิริยาอาการของเกสรดอกไม้ผสมกันโดยธรรมชาติ เป็นอาหารเย็นและสะอาดบริสุทธิ์

2. เนื้อสัตว์
ได้มาจากความหวงแหนของเจ้าชีวิตถ้ายังมีชีวิตอยู่ด้วยแล้ว ก็อย่าหมายเสียเลยที่จะยอมให้เลือดเนื้อและเมื่อตายแล้ว เลือดเนื้อนั้นยังเหม็นคาว ปฏิเสธการกินของมนุษย์ ต้องใช้ไฟเป็นเครื่องบังคับถึงจะกินได้
อาหารธรรมชาติ
ได้มาด้วยเจ้าของยินดี ทั้งแสดงกิริยาชักชวนด้วยสี ด้วนกลิ่น ด้วยรส โดยไม่ต้องบังคับกดขี่

3. เนื้อสัตว์
ได้มาจากความเจ็บปวดรวดร้าว ด้วยความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสเท่ากับเรากินก้อนแห่งความทุกข์ของผู้อื่น
อาหารธรรมชาติ
ได้มาจากสิ่งที่เป็นสุขและไม่เจ็บปวดประการใดๆ คือเท่ากับเรากินก้อนแห่งความสบายของผู้อื่น

4. เนื้อสัตว์
สำเร็จมาด้วยความร้อน (ไฟ) ด้วยกิริยาอาการบังคับ กดขี่ ได้มาโดยการใช้ศาสตราวุธต่างๆและไม่เป็นธรรม
อาหารธรรมชาติ
ได้มาจากกิริยาอาการถูกศีลธรรม สุภาพเรียบร้อย ปราศจากการกดขี่

5. เนื้อสัตว์
เป็นอาหารของเสือ สิงห์ ยักษ์ มาร ผีปอบ ปีป่วง ผีกะ ผีห่า ผีนรก ผีเปรต อสุรกาย เป็นอาหารของนักเลงผู้หญิง นักเลงสุรา เป็นอาหารของสัตว์อสรพิษ
อาหารธรรมชาติ
เป็นอาหารของพรหม ของเทวดา โยคี ฤษี ชีไพร นักปราชญ์ บัณฑิต เป็นอาหารของนักตรัสรู้เช่น พระพุทธเจ้า เป็นอาหารของสัตว์ที่มีคุณเช่น ช้าง ม้า วัว ควาย แพะ แกะ เป็นอาหารของสัตว์สุภาพ เช่น นกเขา นกยูง นกพิราบ เป็นต้น

6. เนื้อสัตว์
ทำให้จิตใจมัวหมอง ไม่ผ่องใส ทำให้ร่างกายเป็นป่าช้า เป็นที่ฝังศพที่กว้างใหญ่ไพศาลที่สุดในโลก ฝังเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักเต็ม ทำให้กามราคะ โทสะ โมหะ กำเริบ
อาหารธรรมชาติ
ทำให้ร่างกายจิตใจตลอดจนศีลธรรมบริสุทธิ์ พอที่จะชำระล้างป่าช้าที่ฝังศพของสัตว์ในร่างกาย ให้สะอาดหมดจด ทำให้กามราคะ โทสะ โมหะ สงบตามปรกติ

7. การกินเนื้อสัตว์
เป็นเครื่องหมายของคนใจดำ ขาดความเมตตา กรุณา เห็นแต่ได้ฝ่ายเดียว
การกินอาหารธรรมชาติ
เป็นเครื่องหมายแห่งความเมตตา กรุณา มิได้เห็นแก่ลิ้นของตนฝ่ายเดียวและเป็นผู้ให้
บุญ วาสนา 5 ประการ
1. อายุวัฒนะ
2. ลาภยศ สรรเสริญ
3. สุขภาพดีทั้งกายและใจ
4. กุศลจิตมั่นคง
5. ละสังขารไปโดยสงบ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ยายหนู
แม่ไข่นกกระทา พ่อไข่จะละเม็ด
 
โพสต์: 2789
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.พ. 15, 2006 11:54 pm

โพสต์โดย ยายหนู » อังคาร ต.ค. 13, 2009 11:53 pm

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'><span style='color:red'>ชีวิตของคนเราก็มีแค่นี้ เอามาให้คนที่ปลงได้ดูเท่านั้น ไม่ต้องการลงเป็นภาพเพราะใครที่ยังปลงไม่ได้ จะได้ไม่เห็น.</span></span>

เป็นพิธีศพของคนรวย ในประเทศธิเบต
>
>
> บางท่านอาจจะเคยเห็นกันแล้ว
>
>
> เป็นเหมือนการทำบุญครั้งสุดท้าย
>
>
> เมื่อดูแล้วพวกเราจงได้ตระหนักว่า
>
>
> แค่นี้แหละหนาชีวิตมนุษย์
>
>
> จะรวยจะจนสุดท้ายก็เอาไปไม่ได้สักบาท
>
>
> อยากจะเตือนให้พวกเรารู้กันไว้ว่า
>
>
> หาเงินกันแทบตาย แต่สุดท้ายใกล้ตายก็นึกได้ต้องหาบุญ
>
>
> แต่พวกเรารู้หรอว่าจะตายกันตอนไหน
>
>
> เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ไยมนุษย์จึงยังประมาทกันอยู่เล่า
>
>
> ที่เห็นกันอยู่นี่คือ นก E แร้ง
<a href='http://image.dek-d.com/22/2152409/102053045' target='_blank'>http://image.dek-d.com/22/2152409/102053045</a>
>
>
> เส้นทางสู่สถานที่ทำพิธี
> <a href='http://image.dek-d.com/22/2152409/102053059' target='_blank'>http://image.dek-d.com/22/2152409/102053059</a>
>
> แบกศพมาด้วย
> <a href='http://image.dek-d.com/22/2152409/102053092' target='_blank'>http://image.dek-d.com/22/2152409/102053092</a>
>
> ปรึกษาหารือ
> <a href='http://image.dek-d.com/22/2152409/102053114' target='_blank'>http://image.dek-d.com/22/2152409/102053114</a>
>
> จุดไฟส่งสัญญาณ เรียกนกแร้ง
> <a href='http://image.dek-d.com/22/2152409/102053146' target='_blank'>http://image.dek-d.com/22/2152409/102053146</a>
>
> มัน..กำลังมา..เรื่อยๆๆ
> <a href='http://image.dek-d.com/22/2152409/102053152' target='_blank'>http://image.dek-d.com/22/2152409/102053152</a>
>
> เมื่อแร้งมาแล้ว ก็ถึงเวลา เอาศพที่แบกมาลงจากรถ
> <a href='http://image.dek-d.com/22/2152409/102053183' target='_blank'>http://image.dek-d.com/22/2152409/102053183</a>
>
>
> <a href='http://image.dek-d.com/22/2152409/102053193' target='_blank'>http://image.dek-d.com/22/2152409/102053193</a>
>
> ต่อไปก็ เอิ่มมม ดูเอาละกัน..
> <a href='http://image.dek-d.com/22/2152409/102053203' target='_blank'>http://image.dek-d.com/22/2152409/102053203</a>
<a href='http://image.dek-d.com/22/2152409/102053212' target='_blank'>http://image.dek-d.com/22/2152409/102053212</a>
>
> อย่าอ้วกซะก่อนนะ
> <a href='http://image.dek-d.com/22/2152409/102053227' target='_blank'>http://image.dek-d.com/22/2152409/102053227</a>
>
> เย้ๆๆๆ ได้เวลาอาหารแล้วววว
> <a href='http://image.dek-d.com/22/2152409/102053235' target='_blank'>http://image.dek-d.com/22/2152409/102053235</a>
>
> <a href='http://image.dek-d.com/22/2152409/102053254' target='_blank'>http://image.dek-d.com/22/2152409/102053254</a>
>
>
> <a href='http://image.dek-d.com/22/2152409/102053268' target='_blank'>http://image.dek-d.com/22/2152409/102053268</a>
>
>
> มีนั่งดูผลงาน เหอะๆ
> <a href='http://image.dek-d.com/22/2152409/102053279' target='_blank'>http://image.dek-d.com/22/2152409/102053279</a>
>
> เมื่อเหลือแค่นี้ ต่อไปก็ต้อง..
> <a href='http://image.dek-d.com/22/2152409/102053285' target='_blank'>http://image.dek-d.com/22/2152409/102053285</a>
>
> เดินเก็บชิ้นส่วนที่แร้งกินไม่ถึง -.-
> <a href='http://image.dek-d.com/22/2152409/102053292' target='_blank'>http://image.dek-d.com/22/2152409/102053292</a>
> <a href='http://image.dek-d.com/22/2152409/102053295' target='_blank'>http://image.dek-d.com/22/2152409/102053295</a>
>
> ต่อไปก็ กระเทาะออกมา 5555
> <a href='http://image.dek-d.com/22/2152409/102053300' target='_blank'>http://image.dek-d.com/22/2152409/102053300</a>
>
>
> <a href='http://image.dek-d.com/22/2152409/102053309' target='_blank'>http://image.dek-d.com/22/2152409/102053309</a>
>
>
> <a href='http://image.dek-d.com/22/2152409/102053354' target='_blank'>http://image.dek-d.com/22/2152409/102053354</a>
>
>
> <a href='http://image.dek-d.com/22/2152409/102053356' target='_blank'>http://image.dek-d.com/22/2152409/102053356</a>
>
>
ภาพประจำตัวสมาชิก
ยายหนู
แม่ไข่นกกระทา พ่อไข่จะละเม็ด
 
โพสต์: 2789
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.พ. 15, 2006 11:54 pm


ย้อนกลับไปยัง คลีนิคชาวครัว

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน
cron