ครัวไกลบ้านได้ทำการปรังปรุงเวบไซต์ให้ใช้งานได้ง่ายขึ้นในระบบสมาร์ทโฟน และได้รวมข้อมูลเมนูอาหารและ สมาชิกจากทั้งเวบไซต์เก่าและใหม่เสร็จเรียบร้อยแล้ว

สมาชิกท่านไหนมีปัญหาไม่สามารถล็อกอินได้ ให้ทำการเปลี่ยนพาสเวิร์ดโดยคลิ๊กลิ้งค์นี้ ลืมรหัสผ่าน
ถ้าท่านใดมีชื่อสมาชิกมากกว่าหนึ่งชื่อแล้วต้องการรวมโพสทั้งหมดให้อยู่ในชื่อสมาชิกเดียว หรือมีปัญหาในการใช้เวบไซต์
สามารถส่งอีเมล์แจ้งรายละเอียดมาได้ที่ admin@kruaklaibaan.com หรือส่งข้อความได้ที่ user: sillyfooks

ถ้าชอบครัวไกลบ้าน อย่าลืมคลิ๊กไลค์เฟสบุ๊คให้ครัวไกลบ้านด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ

เรื่องของฟัน(หมอฟัน และ ฟันคุด)

อยากคุย อยากเล่า อยากบ่น เรื่องสุข เรื่องทุกข์ เรื่องสารพันปัญหา เชิญคุยกันได้ตามสบายที่ห้องนี้ค่ะ

โพสต์โดย รัตติ » พฤหัสฯ. ม.ค. 10, 2008 3:04 pm

<span style='color:red'>หน่อย เรื่องแบบว่าถ้าถอนฟันแล้วจะไปกระทบกระเทื่อนถึงเส้นประสาทก็เคยอ่านเจอเหมือนกันที่หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ นะเด็กน้อยรู้สึกว่าจะ 5 ขวบไปทำฟันที่โรงพยาบาลหมอให้ยาสลบแล้วน้องเค้าไม่ตื่นตอนนี้น้องเค้านอนหลับมา 2 ปีแล้วถ้าจำไม่ผิดพออ่านเรื่องนี้แล้วก็ยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่ แล้วเรื่องที่หมอฟันโก่งราคาเพราะเห็นมากับสามี(ฝรั่ง)เจอเยอะเลยคะเวลาอยากได้อะไรต้องให้สามีรอที่โรงแรมตลอด โก่งกันจริง
เห้อ แต่ตอนนี้โล่งใจแล้วละไม่ต้องทรมานตอนฟันมันอักเสบ สบาย สบาย</span>
ภาพประจำตัวสมาชิก
รัตติ
แม่ไข่ดาว พ่อไข่เจียว
 
โพสต์: 480
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ก.ย. 20, 2007 9:21 pm

โพสต์โดย Smallville » พฤหัสฯ. ม.ค. 10, 2008 6:15 pm

พูดถึงถอนฟันคุด ที่เมืองไทยในกรุงเทพส่วนมาก็จะราคาประมาณนี้แหละค่ะ ก็แล้วแต่ หมอเค้าจะดูก่อนว่าฟันเป็นยังไง ถอนยากหรือถอนง่ายถ้าถอนง่ายหมายถึงฟันที่ขึ้นพ้นเหงือกออกมาแล้วและดูลักษณะขึ้นตรงๆ เค้าก็จะคิดราคาประมาณซี่ละ3000-4000 อะไรพวกนี้แหละ แต่ถ้าฟันที่ยังนอนคุดอยู่ได้เหงือกหรือขึ้นแบบไม่ตรงหรืออื่นๆที่มันไม่ค่อยปรกติที่เวลาถอนจะต้องผ่าออกน่ะค่ะ ในกรณีนี้ก็จะแพงหน่อยอาจจะเป็น5000หรือ8000 ก็ว่ากันไปอ่ะนะ ถ้าเป็นฝรั่งก็คงเรียกแพงๆหน่อยตามสไตส์ของคนไทยน่ะอิอิ ใครมีลูกมีหลานอย่าลืมส่งให้เรียนหมอฟันนะคะ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Smallville
แม่ไข่ดาว พ่อไข่เจียว
 
โพสต์: 364
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ต.ค. 18, 2006 1:06 am

โพสต์โดย แพรพรรณ » ศุกร์ ม.ค. 11, 2008 2:40 am

สวัสดีคะพี่รัตติ ของแพรก็มีปัญหาเรื่อง ฟ.ฟันเหมือนกันคะ คือแพรเป็นโรคเหงือก ปัญหาฟันกร่อน และฟันผุง่าย
อย่างโรคเหงือก ก็สืบเนื่องมาจากที่อยู่โรงเรียนประจำ แล้วไม่ค่อยแปรงฟัน เลยทำให้มีปัญหาเหงือกร่น และเลือดออกตามไรฟัน ทางแก้ที่ดีที่สุดก็คือพบทันตแพทย์ทุกๆ 6 เดือนคะ พอเป็นโรคเหงือกปุบ ก็มีปัญหาเรื่องฟันกร่อน กับฟันผุง่ายตามมา เวลาไปขูดหินปูนกับคุณหมอทีไร (เป็นคุณหมอเฉพาะทางของโรคเหงือก) คุณหมอก็จะบอกว่า อย่าทานอะไรที่แข็ง ห้ามกัดแทะกระดูก ห้ามกัดน้ำแข็ง พยายามเลี่ยงการนอนกัดฟันกรอดๆ และก็แนะนำให้ทานอาหารพวกแคลเซียมมากขึ้นคะ และไอ้เจ้าปัญหาฟันกร่อนของแพร คุณหมอก็เลยต้องรักษาโดยการเสริมฐานฟันด้านบดเคี้ยวให้หนาขึ้น ถ้าไม่ทำฟันก็จะกร่อนไปเรื่อยๆคะ เพราะไหนจะกรดจากน้ำลาย และอาหารที่ทานเข้าไป (แต่คุณหมอเขาจะทำเป็นด้านคะ ไม่ได้ทำเป็นซี่เหมือนอย่างอุดฟัน หรือ อื่นๆ)

ส่วนเรื่องฟันผุ ก็มีบ้างเหมือนกันคะ แต่โชคดีที่ว่า เวลาไปหาคุณหมอ แล้วคุณหมอสังเกตเห็นว่าฟันเริ่มผุมากก็จะนัดให้เราไปอุด บางครั้งเราขออุดเลยคุณหมอก็จะผัดผ่อนว่า "ทำใจให้สบาย หมอเห็นว่ามันยังไม่หนักหนาสาหัสเท่าไร ยังยันได้อยู่ ไม่ต้องรีบร้อน" ก็คงมีแต่หมอที่นี่แหละคะ ที่ไม่ฟันเงินเรา ถ้าไปที่อื่นนะเหรอเสร็จแน่ๆเลย เวลาอุดฟันก็เหมือนกันคะ แพรจะใช้สีวัสดุที่ใช้อุดเหมือนกับสีของฟันมาตั้งแต่เด็ก (เพราะแม่อยากให้สวยเวลายิ้ม แล้วไม่เห็นวัสดุที่อุด) จนคุณหมอบ่นว่ามันสวยงามก็จริง แต่มันไม่ทนเหมือนสีตะกั่ว ดังนั้นคุณหมอก็เลยขอให้ใช้วัสดุอุดฟันแบบตะกั่วกับฟันซีกในสุดของแพรคะ เพราะคุณหมอบอกว่ามันใช้การได้ดี และมันอยู่ด้านในด้วย มองแทบไม่เห็น และคุณหมอก็พูดถูกคะ ฟันที่แพรอุดด้วยสีตะกั่ว ยังไม่หลุดเลย เกือบสองปีแล้ว

การดัดฟัน เพราะแพรเป็นโรคเหงือก คุณหมอก็เลยไม่แนะนำให้ดัดคะ เพราะอุปกรณ์ที่ยึดติดฟัน จะดึงรั้งเหงือกให้ร่นมากขึ้น เวลายิ้มจะเห็นเหงือกออกมาเยอะเลยพร้อมกับฟัน คุณหมอว่า "เหมือนแก้วหน้าม้า" คะ และแพรต้องถอนฟันปกติ 4 ซีก ฟันเก 1 ซีกและฟันคุดอีก 3 ซีก คุณหมอก็ว่าอีกฟันคุณก็สวยดี เป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่แล้ว ไม่สมควรที่จะทำเพราะจะทำให้เหงือกร่นอีก ถึงแม้จะรักษาโรคเหงือกแล้วก็ตาม โครงการดัดฟันก็เลยไม่ได้ทำคะ เพราะคุณหมอบอกว่าอย่าทำเลย เสียเงินเปล่าๆ (คงมีที่นี่ทีเดียวละมั้งคะ ที่ไม่อยากได้เงินเรา อิอิ)

<span style='color:red'>ส่วนประสบการ์ณเรื่องการถอนฟัน และ ฟันคุด</span>
แพรได้ถอนฟันคุดครั้งแรก ตอนอายุ 16 ปี ก่อนหน้านั้นรู้ว่าเรามีฟันคุด 3 ซีก แต่ไม่เห็นคุณหมอว่ากระไร จนกระทั้งฟันคุดทะลุเหงือกขึ้นมา แพรจำได้ว่าแพรปวดได้ประมาณสองอาทิตย์ ปวดจนเหงือกมันบวมเปล่งตรงที่ฟันคุดขึ้นๆมาเหมือนลูกโป่ง พอกินน้ำอุ่นมันก็แฟบลงไป จำได้ว่าปวดหัวมาก กินอะไรไม่ได้เลย จนต้องใช้หลอดกาแฟดูดโจ๊กสำเร็จรูปเอา ตอนแรกคิดว่าเหงือกอักเสบ แต่พอเห็นเหงือกมันบวมมากก็เลยขอนัดคุณหมอ ตอนนั่งรอ ผู้ช่วยทันตฯก็แจ้งเสร็จเรียบร้อยว่า "ฟันคุดนั่นเองมันแทงเหงือกขึ้นมา" คุณหมอก็เลยเอ๊กซเรย์ แล้วก็นัดผ่า แต่สั่งยาให้ไปทานก่อนประมาณอาทิตย์กว่าๆ ทั้งยาแก้อักเสบ และ ยาแก้ปวด พอถึงวันผ่าจริง คุณหมอก็เอ๊กซเรย์ดูอีกที พร้อมกับฉีดยาชา กับทำการเตี๊ยมกันเล็กน้อย หมอบอกว่าถ้าเจ็บให้แพรยกมือด้านซ้ายขึ้น(เพราะหมอนั่งอยู่ด้านขวามือ) และแล้วก็มาถึงเวลา มันน่าจะเป็นการดึงมากกว่าการผ่า แพรจำได้เลยว่าหมอดึงแค่สามครั้ง แต่หัวแพรมันสั่นเอามากๆเลยจากแรงดึง หัวใจแทบหยุดเต้นไปเลยตอนหมอดึง คราวนี้แหละคะ แพรยกทั้งมือซ้าย มือขวาเลย แบบว่ามันลืมตัวคะเพราะตกใจกับแรงที่หมอดึงฟันออกไปมากกว่า แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดีคะ และแพรก็โชคดีที่ผ่าฟันคุดซีกแรก หน้าไม่บวมเลยคะ หมอก็บอกว่าแพรโชคดีที่่หน้าไม่บวมเลยตอนวันมาตัดไหม แต่งานนี้คนที่บ้านแพรแอบดีใจกันคะ เพราะว่านกแก้วนกขุนทองหายไป แม่แพรยิ่งดีใจจนออกนอกหน้า เขาว่าอยากให้แพรผ่าฟันคุดหลายๆรอบ จะได้ไม่ต้องพูดมาก เพราะอยากให้เป็นอย่างงี้ตลอดไป เป็นซะอย่างงั้น

และก็เมื่อปีที่แล้ว แพรก็ถอนฟันธรรมดาอีกหนึ่งซีก (ตอนแรกก็ยังกลัวๆอยู่หมือนกันคะ จากประสบการณ์การถอนฟันคุด) แต่คุณหมอการันตีว่าไม่เจ็บเลย แต่อยากให้ถอนออกไปเพราะมันเป็นฟันบนซีกในสุด ไม่มีคู่ และก็แปรงฟันทำความสะอาดได้ยาก และไม่อยากให้เก็บเอาไว้ เพราะมันจะผุเสียเปล่าๆ แพรก็เลยไปถอนออก แต่ไม่เจ็บเลยคะ พร้อมกันนั่น คุณหมอก็แนะนำให้มาเอาฟันคุดที่ยังไม่งอกขึ้นมาออกไปเสียด้วย อีกหนึ่งอาทิตย์ถัดไป แพรก็ทำตามคะ (ทำไมเราเชื่อคนง่ายจังเลย เขาบอกให้ทำอะไร เราก็ทำตาม) แต่ซีกนี้สุดยอดคะ ก่อนคุณหมอลงมือฉีดยาชา ก็ได้บอกแพรว่า "สาหัสหน่อยนะคุณแพรพรรณ เจ็บมากด้วยนะคะ" แต่คุณหมอก็เอาน้ำเย็นเข้าลูบ โดยการฉีดยาชาอย่างเบามือที่สุด (มือนิ่มจริงๆคะ) พอยาชาออกฤทธิ์เท่านั้นแหละคะ แพรก็เห็น คุณหมอใช้เครื่องมืออะไรสักอย่างเปิดเงือกแพรด้านข้าง (แต่แพรเห็นนิดๆ เหมือนว่ามันเป็นเลื่อย เพราะน้ำกระเซ็นออกมาก) แต่ตอนหมองัดออกไม่เหมือนตอนผ่าฟันคุดครั้งแรก แต่รู้สึกได้ว่ามันซีกใหญ่พอควร แต่แพรไม่รู้สึกเจ็บคะ พอผ่าเสร็จหมอก็นัดตัดไหมหนึ่งอาทิตย์เหมือนเดิม แต่หน้าแพรบวมตั้งแต่วันแรกจนถึงวันตัดไหมเลยคะ (เหมือนคนเป็นคางทูมยังไงยังงั้นเลยคะ) แถมเจ็บอีกเป็นเดือน (เพราะคุณหมอบอกว่าเจ็บนานหน่อยนะคะ) เจ็บนี้อีกนานจริงๆคะ

ตอนนี้แพรก็เลยเหลือฟันคุดอีกแค่ซีกเดียวเท่านั้น แถมอยู่ด้านบนเสียด้วย เพราะสองซีกที่เอาออกไปแล้วมันอยู่ด้านล่างซ้ายกับขวาคะ ที่แพรเล่าให้พี่ๆเพื่อนๆฟังมาจากประสบการณ์ของแพรเอง แพรหวังว่าคงไม่ทำให้พี่ๆหรือเพื่อนๆท่านไหนที่กำลังจะไปผ่าฟันคุดกลัวนะคะ ถ้าถามแพรว่ากลัวไหม? กลัวคะ แต่เราก็ไม่อยากทิ้งไว้ให้มันเป็นมากกว่านี้ อย่างเพื่อนแพรมีอยู่คนนึง (เขามีฟันคุดขึ้น แตไม่เจ็บ ทิ้งเอาไว้เป็นปีๆ สุดท้ายเป็นซีสต์ใต้เงือก ติดเชื้อขึ้นสมองอีก) เลยต้องเสียเวลา และเงินในการรักษานานกว่าปกติเลยคะ ยังไงไปหาหมอฟันเพื่อวินิจฉัยดีที่สุดคะ

<span style='color:blue'>ท้ายสุดขอให้พี่รัตติหายไวไวนะคะ แพรเป็นกำลังใจให้นะคะ และให้กับเพื่อนๆท่านอื่นที่กำลังจะผ่าฟันคุดด้วยคะ</span>
<span style='color:green'>คิดถึงเธอจัง</span><a href='http://www.youtube.com/watch?v=Ce-5OWBNGNw' target='_blank'><u>Eva Cassidy</u></a><img src='http://i196.photobucket.com/albums/aa224/ppoohbear/553186ovm7wdifo8.gif' border='0' alt='user posted image' />
ภาพประจำตัวสมาชิก
แพรพรรณ
แม่ไข่ดาว พ่อไข่เจียว
 
โพสต์: 344
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ เม.ย. 08, 2007 10:12 pm

โพสต์โดย รัตติ » เสาร์ ม.ค. 12, 2008 4:35 pm

<span style='color:red'><span style='font-size:14pt;line-height:100%'>ขอบใจน้องแพรมานะจ๊ะที่เอาเรื่อง(สยอง)มาเล่าให้ฟังตอนนี้อาการพี่ก็ดีขึ้นเรือยๆแล้วแต่ก็ยังบวมเหมือนเดิมแต่ค่อยๆเป็นค่อยไปนะจ๊ะเพราะกินอะไรไม่ได้ตอนนี้ก็น้ำหนักลดไปเกือบตั้ง 2 กก แหนะ(ว้า แย่จัง อาการเริ่มดีขึ้นน้ำหนักก็ไม่ลดแล้วละ)</span></span>
ภาพประจำตัวสมาชิก
รัตติ
แม่ไข่ดาว พ่อไข่เจียว
 
โพสต์: 480
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ก.ย. 20, 2007 9:21 pm

โพสต์โดย Mary UK » เสาร์ ม.ค. 12, 2008 9:46 pm

ฟังแต่ล่ะคนเล่ามาน่าสยองพองขนห่านกันทั้งนั้น คราวนี้ก็ <span style='font-size:14pt;line-height:100%'><span style='color:red'>มาย เทริน์</span></span> ของเมรีมั่ง คือเมื่อสมัยที่เหล้าขาวยังไม่ขึ้นราคาดีกรียังอยู่ที่ 48 นั้น เมรีได้เขารับการรักษารากฟัน (คือกัดเค้าไปทั่วจนทำให้ฟันสั่นคลอนกระทบกระเทือนเดือดร้อนไปถึงรากฟัน) จะด้วยโชคเข้าข้างหรือสวรรค์กลั่นแกล้งก็ไม่ทราบได้ ดันไปเจอทันตแพทย์รูปงามแต่วิญญาณเป็นเจ้าเงาะเข้า มาบอกกับเราว่าคุณมีฟันคุดข้างในล่างและบนรวมทั้งหมด 4 ซีก ปล่อยทิ้งเอาไว้หาใช่มีประโยชน์ไม่ ควรกำจัดให้มันหมดไป หาแล้วไซร้จะมีภัยมาถึงตัว แล้วความกลัวก็ก่อเกิดขึ้นตะงิด
ใช้ทั้งดุลพินิจคิดเหตุผล ถึงจะเจ็บจะปวดก็จำทน เกิดเป็นคนกลัวไซ่แค่ถอนฟัน คุณหมอบอกว่าถ้าจะถอนทั้งหมดคงไม่ได้ วันนี้ถอน 2 ซีกข้างล่างก่อนพรุ่งนี้ค่อยมาล่อไอ้ 2 ซีกข้างบน ด้วยก็ว่ามีใจให้กับหมอคนอะไรหล๊อหล่อ คิดแล้วอยากให้ไปเป็นหมอสูนติจังคงไม่พ้นมือเราเป็นแน่นอน จึงได้โอเคห่อหมกกับคุณหมอ รุ่งขึ้นอีกวันเมรีรีบไปเสนอหน้าที่คลีกนิกก่อนเวลานัด ด้วยว่าอยากเห็นหน้าคุณหมออย่างแรง กะว่าจะทิ้งหนี้สินที่ยืมเขามาให้คุณหมอปลด เอ้ยไม่ใช่จะทิ้งเบอร์โทรศัพท์ให้หมอต่างหาก เมื่อถึงเวลาที่จะถอนก็มีเสียงเรียกที่ฟังแล้วไม่ค่อยจะคุ้นซักเท่าไหร่ แล้วผู้ช่วยก็พาเมรีไปนั่งที่ชั้น
บรีสเน็ต ก็เก้าอี้นอนนั้นแหละอย่างงกันไป แล้วคุณหมอก็สั่งให้อ้าปาก แต่เมรีไม่ยอมทำตามได้แต่ทำตาเหลือกเหมือนจะเชือดเลือดหมอออกมากินเสียให้ได้ เมื่อวานยังหนุ่ม
อยู่เลยแล้วทำไม่วันนี้ถึงได้แก่เร็วจัง แล้วจะทำไงได้ตังค์ก็จ่ายไปแล้วดันเป็นเงินค่าส่งแชร์เสียด้วย เอาล่ะว่ะอยากถอนถอนไปตังค์ก็หมดฟันก็หาย คิดแล้วอยากตายหมั่นไส้ตัวเอง ฮิฮิ
<span style='color:blue'><span style='font-size:21pt;line-height:100%'> สูงสุดลงสู่สามัญ</span></span>
ภาพประจำตัวสมาชิก
Mary UK
แม่ไข่ตุ๋น พ่อไข่ต้ม
 
โพสต์: 103
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ต.ค. 06, 2007 6:18 pm

โพสต์โดย Smallville » เสาร์ ม.ค. 12, 2008 11:27 pm

<span style='color:green'>น้องเมรี</span> เป็นน้องป่าวไม่รู้อ่ะ เรียกน้องไว้ก่อนเนอะ เห็นหน้าเด็กๆน่ะอิอิ แหม๋...จะเข้ามาเล่าประสพการหรือว่ามาเล่าเรื่องขำขันคะ อ่านไปก็ขำไปค่ะ ฮามากๆเลยค่ะ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Smallville
แม่ไข่ดาว พ่อไข่เจียว
 
โพสต์: 364
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ต.ค. 18, 2006 1:06 am

โพสต์โดย รัตติ » อาทิตย์ ม.ค. 13, 2008 5:04 pm

<span style='color:red'><span style='font-size:14pt;line-height:100%'>พี่เมรี แล้วที่มาอยู่ที่ อังกฤษ ตรางู เนี่ยะส่งค่าแชร์เค้าหมอหรือยังน้า???????</span></span>
ภาพประจำตัวสมาชิก
รัตติ
แม่ไข่ดาว พ่อไข่เจียว
 
โพสต์: 480
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ก.ย. 20, 2007 9:21 pm

โพสต์โดย Mary UK » พฤหัสฯ. ม.ค. 17, 2008 12:22 am

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'><span style='color:blue'>สบายใจได้น้องเหอ ก่อนจะมาพี่เมรีได้ส่งบัตรอวยพร โพ รา จาย ให้กับเท้าศรีสุวรรณเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเท้าท่านจะทำหน้ายังไง รู้แต่ว่าถ้าเด็ดกลับวันไหน เท้าท่านเอาตายแน่ เพราะหลังคามันเกือบจะติดกัน ช่วงนี้ทำได้แค่เก็บดอกขายไปพลางๆ แล้วหนูรัตติอยากได้มั่งม้ายพีจะส่งไปให้ ถือว่าช่วยคนมีอายุปลดหนี้ ฮิฮิ</span></span>
<span style='color:blue'><span style='font-size:21pt;line-height:100%'> สูงสุดลงสู่สามัญ</span></span>
ภาพประจำตัวสมาชิก
Mary UK
แม่ไข่ตุ๋น พ่อไข่ต้ม
 
โพสต์: 103
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ต.ค. 06, 2007 6:18 pm

โพสต์โดย รัตติ » ศุกร์ ม.ค. 18, 2008 9:19 pm

<span style='color:red'><span style='font-size:14pt;line-height:100%'>ไม่เอาละพี่หนี้หนูยังใช้เค้าไม่หมดเลย ลูกชายก็ยังไม่ได้เมียเอ้ย เกี่ยวกันเป่าเนี้ย(ก่อนเด็ดกลับเมื่องไทยอย่าลืมทำประกันชีวิตเอาแบบชั้นหนึ่งเลยนะพี่นะ)</span></span>
ภาพประจำตัวสมาชิก
รัตติ
แม่ไข่ดาว พ่อไข่เจียว
 
โพสต์: 480
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ก.ย. 20, 2007 9:21 pm

โพสต์โดย Mary UK » จันทร์ ม.ค. 21, 2008 11:27 pm

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'><span style='color:blue'>ขอบใจเด้อหนูรัตติที่แนะนำให้ทำ อิน ชัวร์ รั้น ก่อนเด็ดกลับ แต่ตอนนี้สถานะการณ์

เปลี่ยนไป คือเท้าทั่นอยากได้หมอนข้างพูดภาษาหรั่ง กำกับด้วยว่าสัณชาติ อิงค์แลนด์

อันนี้เนี่ยแหละจะไปหาไหน แถวบ้านมีใครติดต่อให้ที นึกว่าช่วยพี่ปลดหนี้ทำบุญ ฮือๆๆ</span></span>
<span style='color:blue'><span style='font-size:21pt;line-height:100%'> สูงสุดลงสู่สามัญ</span></span>
ภาพประจำตัวสมาชิก
Mary UK
แม่ไข่ตุ๋น พ่อไข่ต้ม
 
โพสต์: 103
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ต.ค. 06, 2007 6:18 pm

โพสต์โดย triya » อังคาร ม.ค. 22, 2008 2:50 pm

ดีใจด้วยนะคะพี่รัตติ ที่โล่งซักไม่ต้องเจ็บอีกแล้ว ของออฟเองตอนมา หอนแลนด์ (แบบว่าที่นี่ เฮี้ยน "ฮอล" เอาไม่อยู่ขอเปลี่ยนเป็นหอนแล้วกัน ฮ่าฮ่า) ก่อนจะมาไปหาหมอฟันแล้วแบบว่าต้องรักษา รากฟัน แต่ว่าไม่ทันจะรักษาก็ต้องบินซะก่อน พอมาถึงมันก็เริ่มปวด เลยค่าแต่ว่าออฟมาช่วงปลายปีแล้ว เลยต้องรอซื้อประกัน ใหม่ตอนช่วงต้นปี เลยต้องทนปวด
อยู่สี่ เดือนเป็นสี่เดือนที่หฤโหด มาก ไหนจะอยุ๋ช่วงหน้าหนาวด้วย แถมกินของกับข้าวร้อนๆก็ไม่ได้
เป็นช่วงที่ทรมานมากๆๆจริงๆค่ะ สรุปสุดท้ายรักษารากไปสอง แล้วก็อุด เพิ่ม ตอนนี้สบายแล้ว แค่
คอยไปตรวจ แล้วก็รักษาความสะอาดในช่องปากเท่านั้นเอง หมอที่นี่มือหนักนะ ออฟว่าส่วนตัว
ไม่ศรัทธา หมอฝรั่งที่นี่ซักเท่าไหร่ เพราะเหมือนว่าเค้าจะสะกดคำว่า ห่วงไยคนป่วย กับ จรรยาบรรณ ไม่ค่อยเป็นน่ะค่ะ แต่นะ มาแล้วก็ต้องอยู่สู้ชีวิตต่อไป
^_^ แวะไปเยี่ยมกันได้นะคะที่ <br><br><a href='http://triyaandrobert.multiply.com/' target='_blank'>http://triyaandrobert.multiply.com/</a>
ภาพประจำตัวสมาชิก
triya
แม่ไข่ดาว พ่อไข่เจียว
 
โพสต์: 577
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 17, 2006 5:16 pm
ที่อยู่: The Netherlands

โพสต์โดย Amelia » ศุกร์ ก.พ. 08, 2008 11:51 pm


<span style='color:red'>ไฮโซ ไฮซ้อ ที่มีสตุ้ง สตังค์ทั้งหลาย ที่คิดว่า อยากไปรักษาโรคต่างๆที่เมืองนอก ทั้งๆที่หมอในเมืองไทยเก่งๆมีตั้งเยอะแยะ โดยเฉพาะโรคที่ต้องใช้งานฝีมือแบบปราณีต ขอให้คิดให้ดีๆ เพราะว่า ถ้าคนในวงการใน(คือคนในวงการหมอทั้งหลาย หรือคนทีรู้ๆอยู่แล้ว)เขารู้ เขาเคยเห็น เขาจะไม่เลือกไปทำ นอกเสียจากว่า จำเป็น เร่งด่วน(กลับไปไทยไม่ได้) หรือมันไม่สำคัญมาก เช่น มีอินชัวรันอยู่แล้ว ไม่ต้องจ่ายเพิ่มมาก ถ้ารอได้ ก็ขอกลับไปทำที่บ้านเราที่เมืองไทยดีกว่า ขอแนะนำ อย่าคิดว่า เมืองนอกฝีมือจะดีกว่าบ้านเรา ถ้าเป็นงานฝีมือแล้ว ขอบอกว่าส่วนมาก แย่กว่าบ้านเราค่ะ เช่น ทันตกรรม(ฟัน) ศัลยกรรมพลาสติก(ผ่าตัดเสริมสวย)เป็นต้น เพราะมันมีตัวอย่างหลายๆเรื่องที่เขาเล่าต่อกันมา แต่เอากับที่เกิดกับตัวเราเองแล้วกันค่ะ
</span>

ก่อนไปอยู่ที่อเมริกา ก็ไปตรวจฟัน ขูดหินปูนทุกๆ ๖เดือน ก็มีอุดฟันบ้าง เพราะฟันตัวเองก็ไม่ได้ดีเท่าไหร่ พอไปอยู่ปีแรกที่ทำงานสามีก็ทำอินชัวรันสุขภาพให้ แต่ไม่ได้ทำอินชัวรันฟัน เพื่อนก็แนะนำว่า เราทำปีเว้นปีดีกว่า เราก็เพิ่งอุดฟันมาจากเมืองไทย ปีแรกก็ไม่มีอะไร ปีที่ ๒ จะเริ่มสมัครทำได้ต้องรอเดือนพย.(ไม่รู้จะอะไรนักหนา ทีเมืองไทยทำเมื่อไหร่ก็ได้เลย) มีเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อ ปลายเดือน กย. ฟันที่อุดจากเมืองไทย ไม่รู้ไปกัดโดนอะไร(ฟันกรามข้างใน)แตกเป็นรู กินอะไรเข้าไปก็จะไปอุดอยู่ในรูนั้น พอเรากินน้ำร้อน หรือเย็น ก็จะเสียวฟันมาก ทนทรมานทุกครั้งแฟนก็บอกว่าว่า ถ้าไม่ไหวก็ไปหาหมอฟัน แล้วยอมจ่ายเงินเอง แต่คงแพงมาก แต่ถ้าพอทนได้ก็รอทำอินชัวรันก่อน คือ ต้องรอจนถึงเดือน พย. เพื่อ สมัครทำก่อน เมื่อ สมัครแล้ว ต้องรอทิ้งระยะไปอีก ๒ เดือน จึงจะใช้สิทธิรักษาได้ คือ เดือน มค. คือต้อง รอไปอีก อย่างน้อย อีก ๔ เดือน โฮ ๆๆๆๆๆๆ

แล้วเราตัดสินในรอค่ะ เพราะกลัวเสียตังค์มาก ทนทรมานจากการเสียวฟัน จนหายเสียวฟัน หรือจนชาชินก็ไม่รู้ พอผ่านไปถึงเดือน มค. กว่าจะเลือกหมอได้ คือหาหมอที่คิดว่าดี เพื่อนเคยทำ หมอที่ไม่ใช่คนดำ ไม่ใช่แขกอินเดีย ไม่ใช่หน้าอาหรับที่ไหน หน้าดูดีหน่อย เพื่อนเคยทำแล้วดี ก็ปาเข้าไปเดือน กพ.ค่ะ ตอนแรกก็ต้องไปให้หมอเช็คฟันตามระเบียบของที่อเมริกาคือ ครั้งแรก คุณต้องX-Ray ฟันทั้งปาก เพื่อเป็นประวัติ(แต่ต้องจ่ายตังค์เอง จะมีใบเสร็จตามไปเก็บทีหลัง ประกันไม่จ่ายให้ส่วนนี้)จะไม่ขอทำก็ไม่ได้เป็นกฏเขา แล้วหมอก็เช็คฟันทั้งปาก ก็คือ ดูฟันนั่นเอง แล้วก็ให้ผู้ช่วยขูดหินปูนให้คุณ คราวนี้ไม่ต้องจ่าย ประกันที่คุณจ่ายไปรายปีจะจ่ายค่าหมอดูฟันฟรี กับขูดหินปูนฟรี ปีละ ๒ ครั้ง ค่ะ ส่วน หัตถการอื่นๆ ก็แล้วแต่ว่า คุณซื้อประกันแบบไหน ปีละเท่าไหร่ ซื้อมาก คุณก็จ่ายน้อย ซื้อน้อย คุณก็จ่ายมาก งงไหมคะ

คือว่า ซื้อมาก คุณซื้อแบบคุณจ่ายปีละมากพอเราต้องอุดหรือถอนที ประกันจะจ่ายเงินค่าอุดหรือถอนให้เรามากเราก็จ่ายส่วนน้อยเช่น ใน ๑๐๐ บาท ประกันจ่าย ๖๐ บาท เราจ่าย ๔๐ บาท แต่ตรงกันข้าม คุณซื้อประกันน้อย คุณจ่ายมาก ประกันจ่ายค่าอุดฟัน ๔๐ บาท คุณต้องจ่ายเงินเอง ๖๐ บาทไงคะ

พอมาถึงฟันซี่เจ้าปัญหา เราก็บอกเขาว่า เรามีปัญหาฟันซี่นี้ (กว่าจะถึงเจ้าฟันซี่นี้ได้ ต้องให้เข้าทำอย่างอื่นให้เรียบร้อยก่อน)หมอก็ใช้เครื่องเป่าลมเป่าให้ โห มันเสียวฟันมากๆเลยค่ะ คนที่เคยมีประสบการณ์แบบนี้คงพอนึกออก ท่านก็บอกว่า ไม่สามารถอุดเขาไปใหม่ได้ เพราะมันไม่ใช่แค่อันเก่าที่อุดหลุดออกเท่านั้น มันแตกเพิ่ม ต้องทำครอบฟันอย่างเดียว และที่นี่ก็ไม่สามารถทำได้เลยตอน เราต้องทนเสียวฟันไปอีก ต้องรอนัดวันมาทำใหม่อีก ๒ ครั้ง และท่านก็ไม่ทำอะไรให้เราหายเสียวฟันเลย ปล่อยเรากลับบ้านไปกับฟันรูโบ๋ๆนั้น

ดูสิ ไม่ช่วยอะไรเราเลย เราก็ออกไปคุยกับแคชเชียร์ข้างนอก ยายหน้าหงิก(สมญานามที่เพื่อนเราตั้งให้)หงิกจริงๆค่ะ ก็ถามราคาคางวดเขา ราคาทั้งหมดคือ ค่าครอบฟันโดยเบ็ดเสร็จ(ที่เมืองไทยจะบอกว่า ค่ารักษารากฟัน ค่าเดือย ค่าครอบฟัน) $650 ราคาเงินไทยตอนนั้นก็ประมาณ เกิน ๓๕ บาทค่ะ ต่อ ดอลล่าห์ แต่ประกันเราจะจ่ายให้ แค่ ๔๐% สรุปแล้ว เราก็ตกลงทำไปโดยการนัดไปทำ ๒ ครั้ง เราต้องจ่ายเงินค่าทำเองประมาณ ๑๖๐๐๐บาท โดยที่เมืองไทยราคาทั้งหมด ๑๘๐๐๐ บาท(นี่เป็นราคาที่เราทำประกันแล้วเราจ่าย ๖๐ %นะคะ)หลังทำก็ดูอึดอัดนิดหน่อย เพราะยังใหม่ ยายหน้าหงิกยิ้มแย้มแจ่มใส่ให้เราดี เพราะติดใจในขนมไทยที่เราติดไม้ติดมือไปให้


ไว้มาต่อตอนต่อไปนะคะว่า ผลออกมาเป็นยังไง ขอไปทำธุระก่อนค่ะ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Amelia
แม่ไข่นกกระทา พ่อไข่จะละเม็ด
 
โพสต์: 2791
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ม.ค. 19, 2006 5:45 pm
ที่อยู่: ใกล้ๆรังสิต

โพสต์โดย Amelia » เสาร์ ก.พ. 09, 2008 11:00 pm

มาต่อแล้วค่ะ

คลีนิคหมอฟันที่อเมริกา ก็อย่างที่รู้ๆกัน สาวๆที่อยู่ที่นั่นก็คงรู้ดีว่า ไม่สะดวกสบายเหมือนบ้านเรา ไม่มีอ่างบ้วนปากให้เรา ตัวดูดเสมหะดูดน้ำเราก็ถือเอง ที่บ้วนก็เป็นแบบกรวยเล็กๆ เราก็ต้องขอน้ำ และไปบ้วนในอ่างล้างมือหมอ และไปบ้วนชุดใหญ่ที่ห้องน้ำข้างนอกอีกที หลังทำก็ยังชาปากไปอีกหลายชั่วโมง และก็ปกติไปหลายเดือน จนลืมไปแล้วค่ะ หลังจากที่ทำ ๖ เดือนว่าจะไปให้ตรวจอีกทีก่อนกลับเมืองไทย ก็ยุ่งๆกับการย้าย และเก็บของกลับบ้านก็ลืมๆไปเลยค่ะ จนกระทั่งกลับเมืองไทย

.......++++กระทั่งกลับไปเมืองไทย เวลาแปรงฟัน และใช้ไหมขัดฟันทุกครั้ง มันจะต้องได้เศษอาหาร และเศษเนื้อออกมาจากซอกฟันข้างเจ้าซี่ที่ไปทำมาบ่อยๆ เราก็ เอ๊ะ...มันยังไงกันหว่า แต่ก็ยังไม่มีเวลาไปให้หมอฟันที่เมืองไทยดู เมื่อ ๒ วันก่อน (๗ กพ.) ก็เลยโทรฯนัดให้หมอเช็คซะหน่อย เพราะผ่านมาครบปีพอดี ผลปรากฏว่า ยังไงรู้ไหมคะ เจ้าซี่ที่อุดส่าห์ Made in USA นะ ทำออกมาไม่ดีค่ะ ทำแล้ว ไม่ชิดติดซี่ข้างๆ และไม่ชิดจนถึงคอฟันคือเหงือกบน ทำให้เศษอาหารไปติดด้านข้างทุกครั้ง และตรงคอฟันด้านบน(ซี่ที่ทำคือด้านบ้าน)เวลาโดนอะไรไปเขี่ยๆจะเสียวฟัน ตอนหมอเอาเครื่องมือแหลมๆเขี่ย เสี่ยวมากค่ะ

ก็ถามคุณหมอว่า มีวิธีแก้ไขไหมคะ มีค่ะ ๒ วิธีให้เลือก
๑.รื้อเจ้าซี่เจ้าปัญหานี้ทิ้งไป(โยนเงินก้อนนั้นทิ้งไป)แล้วทำใหม่ นัดหมอใหม่ใช้เวลาอีก ๒ สัปดาห์
๒.กรอฟันซี่ข้างๆ(ซึ่งเป็นฟันที่ดี ไม่ได้ผุ) และอุดให้หนาขึ้น มาชิดกับฟันซี่เจ้าปัญหา ไม่ให้มีเศษอาหารไปติด แต่ไม่ได้แก้ปัญหาด้านคอฟันด้านบน

เป็นใครก็คงต้องเลือกทำข้อที่ ๑ ใช่ไหมคะ แต่ขอเวลาตั้งหลักก่อนค่ะ เพราะต้องเซ็ทเวลาใหม่ ลูกก็จะปิดเทอมแล้ว จะไม่ทันการ เงินไม่เท่าไหร่ แต่ต้องเสียเวลาอีก กลัวเจ็บตัวใหม่ด้วย

@@@@เห็นไหมคะ ของนอกไม่ได้ดีเสมอไป เสียทั้งเงิน เสียเวลา เจ็บตัวฟรี ที่สำคัญ เสียใจ(ความรู้สึก) อันนี้ยังเป็นแค่หัตถการเล็กๆ ไม่สำคัญมากนะคะ ถ้าเป็นแบบใหญ่ๆกว่านี้ ถ้าคุณมีกำลังทรัพย์มากพอเลือกทำที่เมืองไทย เลือกหาอาจารย์หมอที่ดีๆ โรงพยาบาลดีๆ คุณก็จะได้หมอฝีมือดี แต่ตรงกันข้าม คุณมีกำลังทรัพย์ดี แต่อยากทำที่เมืองนอก(เช่น ดารา หรือไฮโซ ต้องการหลบข่าว) ไปทำต่างประเทศ ก็ต้องรู้จักหมอฝีมือดี ไม่ยังงั้นแล้ว ไปที่ไหนก็ได้ เผลอๆ ก็จะเป็น แพทย์ฝึกหัด หรือหมอฝีมือไม่ดี ผลออกมาคือ สวยสู้เมืองไม่ได้หรอกค่ะ บางอย่างมันแก้คือแล้วไม่ได้ หรือไม่ได้ดีเหมือนเดิม สู้เก็บเงิน แล้วทำที่เมืองไทยดีกว่า ราคาถูกกว่า เหลือเงินช็อปปิ้งได้อีก

ถ้าจะทำที่เมืองนอกก็คือ ต้องรู้จักชื่อเสียงของหมอคนนั้น หรือมีคนรู้จักแนะนำอีกที วิวัฒนาการ เครื่องไม้ เครื่องมือเขาดี ทันสมัย แต่ฝีมือ ความปราณีตเขาเป็นรองคนไทยเรามากเลยค่ะ ถ้าไม่อยากเสียใจทีหลัง@@@@
ภาพประจำตัวสมาชิก
Amelia
แม่ไข่นกกระทา พ่อไข่จะละเม็ด
 
โพสต์: 2791
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ม.ค. 19, 2006 5:45 pm
ที่อยู่: ใกล้ๆรังสิต

โพสต์โดย ยายหนู » จันทร์ ก.พ. 11, 2008 12:05 am

เออ...งั้นเมื่อต้นปีที่แล้ว ยายหนูก็คิดถูกนะซี ที่เอาเงินส่วนนั้น(คิดว่าจะทำฟันที่เมกา)ซื้อตั๋วบินไปทำฟันที่บ้านเรา ไปคลีนิคนั่งรอไม่ถึงชั่วโมงก็ได้ทำแล้วไม่แพงด้วย แถมได้เยี่ยมครอบครัว ซื้อของมาแต่งร้านและอื่นๆอีก สิ้นปีนี้จะไปใส่ฟันที่ถอนออกไป

อาการเสียวฟัน ทรมานมากจริงๆนะน้องแจ๋ พี่ยายหนูจำได้ น้องแจ๋ตั้งกระทู้ อวยพรให้พี่หายจากอาการปวดฟัน ขอบคุณอีกครั้งค่ะ...
ภาพประจำตัวสมาชิก
ยายหนู
แม่ไข่นกกระทา พ่อไข่จะละเม็ด
 
โพสต์: 2789
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.พ. 15, 2006 11:54 pm

โพสต์โดย Sanhathai » จันทร์ ก.พ. 11, 2008 6:53 am

เรื่องของพี่แจ๋ทำให้นึกถึงหนังกึ่งสารคดีเรื่อง Sicko ของ Michael Moore เลย

ดูแล้วบริษัทประกันมีแต่จะรวยเอา รวยเอา

คนอเมริกันต้องล้มละลายเพราะไม่มีปัญญาจ่ายค่าโรงพยาบาล ค่าหมอ ค่ายา


ไม่ทราบว่าพี่แจ๋เคยดูหรือเปล่าคะ

เอมี่ดูแล้วก็เกือบร้องไห้เพราะสงสาร คนแก่ต้องทำงานเพราะถ้าไม่ทำงานก็จะไม่มีตังค์

ซื้อยา อย่างน้อยถ้ายังทำงานอยู่บริษัทก็ทำประกันให้

เอมี่อยู่ที่ดูไบถึงคราวต้องขูดหินปูน มันคิด ๖๐๐๐ บาท เฉพาะค่าขูดหินปูน

ถ้าป่วยไม่สบายอยากหาหมอ แค่ค่าเห็นหน้าหมอ คุยกับหมอ ๒ ๓ คำ มันคิด ๓๕๐๐ บาท

ถ้าคลอดลูกแล้วต้องผ่าคลอด แพ็คเกจละ ๒ แสนบาท (บ้าป่าว)

เห็นราคาแล้วหัวขนลุกเลยคะพี่
<u><span style='color:purple'><b>Amy@Dubai</b></span></u>
ภาพประจำตัวสมาชิก
Sanhathai
แม่ไข่ดาว พ่อไข่เจียว
 
โพสต์: 573
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ม.ค. 26, 2006 1:21 pm
ที่อยู่: Dubai, United Arab Emirates

ย้อนกลับต่อไป

ย้อนกลับไปยัง คุยกันเจ๊าะแจ๊ะ

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน