ฉันเคยเขียนเรื่องราวชีวิตของตัวเองเมื่อ 10ปีที่แล้ว หลายครั้งหลายหน แต่ก็ต้องลงขยะไป เพราะไม่รู้ว่าจะจบยังไง ก็ตอนนั้นนางเอกของเรื่องชีวิตยังเคว้งคว้างหาทางลงไม่ได้
วันนี้ ฉันคือเจ้าของกิจการร้านอาหารไทยในอเมริกา ถึงแม้ว่าจะไม่ใหญ่โตหรูหรามากนัก แต่ฉันก็สร้างมันมาจากน้ำพักน้ำแรงและความขยันอดทน เพียรพยายาม ถึงแม้กว่าจะท้อ แต่ก็ไม่เคยถอย
ทุกๆคนย่อมมีความฝัน อาจจะเล็กบ้างใหญ่บ้างก็แล้วแต่เราจะเลือกฝันกันไป ดีกว่าอยู่เปล่าๆ เพราะฉันคิดว่า คนที่ไม่มีความฝัน คือคนที่ไม่มีอนาคต ฉันสร้างความฝันนี้หลังจากที่มาอยู่อเมริกา เพราะอยากจะเป็นคนมีเงินมีทองกับเขาบ้าง อีกอย่างเป็นการปูทางสร้างอนาคตไว้ให้ลูกๆหลานๆ เขาจะได้ไม่ลำบากเหมือนอย่างที่ฉันเป็นมา
คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้ โดยสร้างความฝันให้เป็นความจริง เมื่อโอกาสอำนวย ฉันก็เป็นคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในชีวิต เพราะ...ฉันเลือกเกิดไม่ได้ แต่ฉันเลือกที่จะเป็นได้
เรามาติดตามอ่านเรื่องราวชีวิตของฉัน เพราะเชื่อเหลือเกินว่า ต้องเป็นกำลังและแรงใจให้หลายๆคนที่กำลังท้อ และคิดว่าชิวิตตัวเองสาหัสแล้ว ได้ลุกขึ้นยืน ฮึดสู้อีกครั้ง เพราะฉันเป็นตัวอย่างของคนสู้ชีวิต
พ่อฉันเป็นคนฝั่งธน แม่เป็นคนชะอำ แม่จากบ้านเกิดเมืองนอนเข้ามาบางกอก มาเป็นลูกจ้างในเรือแจว ขายถ่านย่านคลองบางกอกน้อย จนกระทั่งพบรักกับพ่อ และอยู่กินด้วยกันจนมีพวกฉัน 5คนพี่น้อง ฉันเป็นคนที่ 4 ชีวิตของแม่ดีขึ้นเมื่อได้รับการอุปการะจากป้าเจือ หญิงซึ่งมีอายุแก่กว่าแม่ เธอมีสามีเป็นแขกขาวชาวยุโรป หน้าที่ของแม่คือแม่คอยรับใช้ดูแลและทำความสะอาดบ้าน ส่วนพ่อก็ไปเป็นกรรมกรก่อสร้าง นานๆจะกลับมาบ้านที....
ต่อมาพ่อได้งานเป็นลูกจ้างประจำในกองทัพอากาศ พวกเราจึงต้องย้ายมาอยู่ อ.ตาคลี จ. นครสวรรค์ ซึ่งสะดวกสบายเพราะอยู่ใกล้ติดกับตลาด แม่จึงรับจ้างหาบน้ำในฤดูแล้ง หาบละ หนึ่งสลึง และรับจ้างซักรีดเสื้อผ้า พวกฉันก็ได้ไปโรงเรียนซึ่งเป็นโรงเรียนวัดห่างจากบ้านประมาณ 1กิโลเมตร ในความทรงจำสมัยนั้น พศ.2513 ข้าวสาร ลิตรละ 2บาท ไข่เป็ด 3-4ฟอง 1บาท และเป็นภาพที่ติดตา พ่อกินเหล้าเมาตีแม่หางคิ้วแตก....ฉันจึงเกลียดคนเมา...
ไม่นานพ่อได้เข้าทำงานกับบริษัทอิตตาเลี่ยน-ไทย ซึ่งบริษัทนี้มีงานเป็นโปรเจ็คใหญ่ระยะยาว คือก่อสร้างถนนสายเอเซีย พ่อจึงมารับพวกเราให้ไปอยู่ด้วยกันที่อ่างทอง ที่พักของคนงานซึ่งปลูกเป็นเพิง อยู่กลางทุ่งนา ทำให้แม่ขาดรายได้ แต่แม่ก็ไม่ได้อยู่นิ่งหาตัดฝืนมาเผาถ่าน ตกปลาเก็บผักตามหนองน้ำมาทำให้ลูกๆกิน....ไม่นานนักทางบริษัทจึงหาเช่าบ้านเป็นห้องแถวให้พนักงานอยู่ พ่อเมา ตีแม่อีก เพราะพี่สาวคนโตหนีตามผู้ชายไป แม่จึงหอบน้องคนเล็กหนีไปหาป้าเจือที่คลองบางกอกน้อย ปล่อยให้ฉัน 3คนพี่น้องอยู่กันตามลำพังเพราะต้องไปโรงเรียน
พี่ชายคนโตหุงหาอาหาร พี่ชายคนรอง ล้างชามถูบ้าน ฉันไม่มีหน้าที่ทำอะไรเลย เพราะเป็นน้อง พ่อจะรักฉันมาก เพราะฉันขี้เหล่ อ้วน ดำ แขนขาเน่าพุพอง เป็นแผลเต็มไปหมด เพื่อนๆที่โรงเรียนให้ฉายาฉันว่า "ขาลายสะเกร็ดระเบิด" ทุกๆวันหลังอาหาร พ่อจะให้ฉันนั่งตัก และเอายาหม้อมาให้ฉันดื่ม พร้อมกับเอามือลูบที่แขน แกะสะเกร็ดแผลที่แห้งๆออก และพูดว่า "ถึงแม้จะรูปชั่วตัวดำแต่ลูกก็เป็นคนฉลาดมีไหวพริบดี ขยันหมั่นเพียร โตขึ้นจะได้เป็นเจ้าคนนายคน" (ฉันรักพ่อจัง)
แม่ติดต่อกลับไปหาป้าซึ่งเป็นพี่สาวแท้ๆของแม่ที่ชะอำ ป้าบอกว่า ให้ย้ายกลับมาและจะยกที่ดินให้ 15ไร่ ซึ่งเป็นมรดกจากยาย แม่จึงตัดสินใจย้ายกลับไปบ้านเกิด ไม่ได้เห็นแก่มรดกที่ดิน แต่เห็นแก่ลูกๆที่จะได้ไม่ต้องย้ายโรงเรียนกันบ่อยๆ ตอนนั้นเป็นช่วงปิดเทอมฉันขึ้นชั้น ป.5 บ้านเป็นไม้ไผ่ขัดแตะ ทั้งข้างฝาและพื้นที่เป็นแคร่ แค่พอนอน พื้นดินถูกกวาดจนเอี่ยม ไม่มีไฟฟ้า ห้องน้ำห้องส้วมก็ไม่มี เวลาจะถ่ายต้องวิ่งเข้าป่า กระดาษก็ไม่มี ทำธุระเสร็จก็ใช้กิ่งไม้เล็กๆปาด
วันหนึ่งพี่ชาย พาไปเล่นในป่าชายเลน แต่ต้องว่ายน้ำข้ามคลองไปจับปูสะแหม ฉันว่ายน้ำไม่ค่อยแข็ง ถึงจมน้ำ สำลักน้ำไปหลายอึก ตกเย็น อาหารบ้านนอกชาวเล คือแกงปลากระเบนแห้งกับยอดมะขามเปียก คืนนั้น ฉันทั้งลงทั้งลาก (นั่นคือยาถ่ายกระสัยอย่างดีของฉัน เพราะหลังจากนั้นมา แขนขาที่เป็นหนองพุผองก็แห้งหายสนิทโดยไม่ต้องอาศัยยาหม้ออีกต่อไป)
แม่เห็นพวกฉันต้องลำบาก เพราะไม่ชินกับเรื่องอาหาร จึงขอป้าย้ายกลับมาอยู่ตาคลี ซึ่งป้าบอกตัดขาด ไม่ยกที่ดินให้ แม่ก็ไม่ว่าอะไร เพราะลูกๆสำคัญกว่า
พวกเราได้กลับมาอยู่ตาคลีอีกครั้ง และแม่ก็ยึดอาชีพรับจ้างซักผ้าอย่างเดิม ฉันก็ได้กลับไปโรงเรียนเดิม ส่วนพ่อย้ายไปทำที่ จ.แพร่
ครูที่โรงเรียนชมว่าฉันเรียนเก่ง ร้องเพลงเก่ง เล่นกีฬาก็เก่ง ทำให้ฉันขยันใสใจในการเรียนมากขึ้น วันโกน วันพระ โรงเรียนปิด ฉันตื่นตี 5ไปช่วย น้าจุกกับน้าจิตรยายก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟในตลาด ได้ค่าแรงวันละ 3บาทแต่อิ่มท้อง และที่ฉันได้มากไปกว่านั้นคือ ได้สูตรการทำหมูแดงและซอสเย็นตาโฟนซึ่งเป็นสูตรลักจำที่จำติดตาจนทุกวันนี้....
ใกล้จะจบ ป.7 พ่อล้มป่วย ด้วยอาการเครียดทางประสาท พ่อบอกว่าฝืนต่อไปไม่ไหวแล้ว เวลาพ่อปวดหัว เส้นเลือดที่ขมับจะพองจนฉันกลัว แม่จะฝานมะนาวผ่าฉีกเอาปูนแดงที่กินกับหมากมาทาแล้วแปะไว้ที่ขมับพ่อ เพื่อหวังว่าอาการจะทุเลาลง พ่อต้องกินยา ซึ่งฉันจำได้ แต่อาจจะเพี้ยนไปบ้าง ออกเสียงประมาณนี้ "นีโอไวบ่อน" และ"วาเลี่ยม5" ซึ่งไปซื้อมาให้พ่อบ่อยๆ
และแล้วพ่อก็ลาออกจากงาน หลังจากที่พวกฉันเรียนจบ เพื่อพักผ่อนและดูแลย่าซึ่งป่วยเป็นโรคชรา นอนอยู่กับที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ พ่อจึงได้ใช้โอกาศนี้ทดแทนบุญคุณผู้ที่ให้กำเหนิด และตอนนี้พ่อตัดหมดทุกอย่าง เหล้า บุหรี่ ซึ่งพ่อสูบวันละ 2ซอง พ่อบอกว่า ไม่มีอะไรดีขึ้น มีแต่จะเสียเงินและเสียสุขภาพ....
ฉันจบแค่ ป.7 ออกมาช่วยแม่ซักผ้าและรับจ้างหาบน้ำ พี่ชายจบ มศ.1 เข้ากรุงเทพไปประกวดร้องเพลงที่เสียงสามยอด ได้รับรองวัลชนะเลิศเยาวชนชาย และได้รับการอุปการะจากคุณอาพยงค์ มุกดา พี่จึงได้งานโดยไปจัดรายการวิทยุกับท่าน พอได้เงินก็ส่งมาจุนเจือทางบ้าน เพื่อส่งให้น้องคนเล็กได้เรียนต่อจนปัจจุบันน้องคนนี้ได้เป็นข้าราชการในสถาบันวิจัย มหาลัยขอนแก่น แต่ตัวพี่เองกลับตกอับเพราะอาชีพศิลปินไม่ยั่งยืน พี่คนโตจบ มศ.3 ปัจจุบันเป็นหัวหน้าที่ทำการไปรษณีย์โทรเลข
ส่วนฉัน....ต้องอ่านต่อ