ครัวไกลบ้านได้ทำการปรังปรุงเวบไซต์ให้ใช้งานได้ง่ายขึ้นในระบบสมาร์ทโฟน และได้รวมข้อมูลเมนูอาหารและ สมาชิกจากทั้งเวบไซต์เก่าและใหม่เสร็จเรียบร้อยแล้ว

สมาชิกท่านไหนมีปัญหาไม่สามารถล็อกอินได้ ให้ทำการเปลี่ยนพาสเวิร์ดโดยคลิ๊กลิ้งค์นี้ ลืมรหัสผ่าน
ถ้าท่านใดมีชื่อสมาชิกมากกว่าหนึ่งชื่อแล้วต้องการรวมโพสทั้งหมดให้อยู่ในชื่อสมาชิกเดียว หรือมีปัญหาในการใช้เวบไซต์
สามารถส่งอีเมล์แจ้งรายละเอียดมาได้ที่ admin@kruaklaibaan.com หรือส่งข้อความได้ที่ user: sillyfooks

ถ้าชอบครัวไกลบ้าน อย่าลืมคลิ๊กไลค์เฟสบุ๊คให้ครัวไกลบ้านด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ

ชีวิตที่เลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้

อยากคุย อยากเล่า อยากบ่น เรื่องสุข เรื่องทุกข์ เรื่องสารพันปัญหา เชิญคุยกันได้ตามสบายที่ห้องนี้ค่ะ

โพสต์โดย ยายหนู » อาทิตย์ ม.ค. 27, 2008 12:10 am

ฉันเคยเขียนเรื่องราวชีวิตของตัวเองเมื่อ 10ปีที่แล้ว หลายครั้งหลายหน แต่ก็ต้องลงขยะไป เพราะไม่รู้ว่าจะจบยังไง ก็ตอนนั้นนางเอกของเรื่องชีวิตยังเคว้งคว้างหาทางลงไม่ได้

วันนี้ ฉันคือเจ้าของกิจการร้านอาหารไทยในอเมริกา ถึงแม้ว่าจะไม่ใหญ่โตหรูหรามากนัก แต่ฉันก็สร้างมันมาจากน้ำพักน้ำแรงและความขยันอดทน เพียรพยายาม ถึงแม้กว่าจะท้อ แต่ก็ไม่เคยถอย

ทุกๆคนย่อมมีความฝัน อาจจะเล็กบ้างใหญ่บ้างก็แล้วแต่เราจะเลือกฝันกันไป ดีกว่าอยู่เปล่าๆ เพราะฉันคิดว่า คนที่ไม่มีความฝัน คือคนที่ไม่มีอนาคต ฉันสร้างความฝันนี้หลังจากที่มาอยู่อเมริกา เพราะอยากจะเป็นคนมีเงินมีทองกับเขาบ้าง อีกอย่างเป็นการปูทางสร้างอนาคตไว้ให้ลูกๆหลานๆ เขาจะได้ไม่ลำบากเหมือนอย่างที่ฉันเป็นมา

คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้ โดยสร้างความฝันให้เป็นความจริง เมื่อโอกาสอำนวย ฉันก็เป็นคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในชีวิต เพราะ...ฉันเลือกเกิดไม่ได้ แต่ฉันเลือกที่จะเป็นได้

เรามาติดตามอ่านเรื่องราวชีวิตของฉัน เพราะเชื่อเหลือเกินว่า ต้องเป็นกำลังและแรงใจให้หลายๆคนที่กำลังท้อ และคิดว่าชิวิตตัวเองสาหัสแล้ว ได้ลุกขึ้นยืน ฮึดสู้อีกครั้ง เพราะฉันเป็นตัวอย่างของคนสู้ชีวิต

พ่อฉันเป็นคนฝั่งธน แม่เป็นคนชะอำ แม่จากบ้านเกิดเมืองนอนเข้ามาบางกอก มาเป็นลูกจ้างในเรือแจว ขายถ่านย่านคลองบางกอกน้อย จนกระทั่งพบรักกับพ่อ และอยู่กินด้วยกันจนมีพวกฉัน 5คนพี่น้อง ฉันเป็นคนที่ 4 ชีวิตของแม่ดีขึ้นเมื่อได้รับการอุปการะจากป้าเจือ หญิงซึ่งมีอายุแก่กว่าแม่ เธอมีสามีเป็นแขกขาวชาวยุโรป หน้าที่ของแม่คือแม่คอยรับใช้ดูแลและทำความสะอาดบ้าน ส่วนพ่อก็ไปเป็นกรรมกรก่อสร้าง นานๆจะกลับมาบ้านที....

ต่อมาพ่อได้งานเป็นลูกจ้างประจำในกองทัพอากาศ พวกเราจึงต้องย้ายมาอยู่ อ.ตาคลี จ. นครสวรรค์ ซึ่งสะดวกสบายเพราะอยู่ใกล้ติดกับตลาด แม่จึงรับจ้างหาบน้ำในฤดูแล้ง หาบละ หนึ่งสลึง และรับจ้างซักรีดเสื้อผ้า พวกฉันก็ได้ไปโรงเรียนซึ่งเป็นโรงเรียนวัดห่างจากบ้านประมาณ 1กิโลเมตร ในความทรงจำสมัยนั้น พศ.2513 ข้าวสาร ลิตรละ 2บาท ไข่เป็ด 3-4ฟอง 1บาท และเป็นภาพที่ติดตา พ่อกินเหล้าเมาตีแม่หางคิ้วแตก....ฉันจึงเกลียดคนเมา...

ไม่นานพ่อได้เข้าทำงานกับบริษัทอิตตาเลี่ยน-ไทย ซึ่งบริษัทนี้มีงานเป็นโปรเจ็คใหญ่ระยะยาว คือก่อสร้างถนนสายเอเซีย พ่อจึงมารับพวกเราให้ไปอยู่ด้วยกันที่อ่างทอง ที่พักของคนงานซึ่งปลูกเป็นเพิง อยู่กลางทุ่งนา ทำให้แม่ขาดรายได้ แต่แม่ก็ไม่ได้อยู่นิ่งหาตัดฝืนมาเผาถ่าน ตกปลาเก็บผักตามหนองน้ำมาทำให้ลูกๆกิน....ไม่นานนักทางบริษัทจึงหาเช่าบ้านเป็นห้องแถวให้พนักงานอยู่ พ่อเมา ตีแม่อีก เพราะพี่สาวคนโตหนีตามผู้ชายไป แม่จึงหอบน้องคนเล็กหนีไปหาป้าเจือที่คลองบางกอกน้อย ปล่อยให้ฉัน 3คนพี่น้องอยู่กันตามลำพังเพราะต้องไปโรงเรียน

พี่ชายคนโตหุงหาอาหาร พี่ชายคนรอง ล้างชามถูบ้าน ฉันไม่มีหน้าที่ทำอะไรเลย เพราะเป็นน้อง พ่อจะรักฉันมาก เพราะฉันขี้เหล่ อ้วน ดำ แขนขาเน่าพุพอง เป็นแผลเต็มไปหมด เพื่อนๆที่โรงเรียนให้ฉายาฉันว่า "ขาลายสะเกร็ดระเบิด" ทุกๆวันหลังอาหาร พ่อจะให้ฉันนั่งตัก และเอายาหม้อมาให้ฉันดื่ม พร้อมกับเอามือลูบที่แขน แกะสะเกร็ดแผลที่แห้งๆออก และพูดว่า "ถึงแม้จะรูปชั่วตัวดำแต่ลูกก็เป็นคนฉลาดมีไหวพริบดี ขยันหมั่นเพียร โตขึ้นจะได้เป็นเจ้าคนนายคน" (ฉันรักพ่อจัง)

แม่ติดต่อกลับไปหาป้าซึ่งเป็นพี่สาวแท้ๆของแม่ที่ชะอำ ป้าบอกว่า ให้ย้ายกลับมาและจะยกที่ดินให้ 15ไร่ ซึ่งเป็นมรดกจากยาย แม่จึงตัดสินใจย้ายกลับไปบ้านเกิด ไม่ได้เห็นแก่มรดกที่ดิน แต่เห็นแก่ลูกๆที่จะได้ไม่ต้องย้ายโรงเรียนกันบ่อยๆ ตอนนั้นเป็นช่วงปิดเทอมฉันขึ้นชั้น ป.5 บ้านเป็นไม้ไผ่ขัดแตะ ทั้งข้างฝาและพื้นที่เป็นแคร่ แค่พอนอน พื้นดินถูกกวาดจนเอี่ยม ไม่มีไฟฟ้า ห้องน้ำห้องส้วมก็ไม่มี เวลาจะถ่ายต้องวิ่งเข้าป่า กระดาษก็ไม่มี ทำธุระเสร็จก็ใช้กิ่งไม้เล็กๆปาด

วันหนึ่งพี่ชาย พาไปเล่นในป่าชายเลน แต่ต้องว่ายน้ำข้ามคลองไปจับปูสะแหม ฉันว่ายน้ำไม่ค่อยแข็ง ถึงจมน้ำ สำลักน้ำไปหลายอึก ตกเย็น อาหารบ้านนอกชาวเล คือแกงปลากระเบนแห้งกับยอดมะขามเปียก คืนนั้น ฉันทั้งลงทั้งลาก (นั่นคือยาถ่ายกระสัยอย่างดีของฉัน เพราะหลังจากนั้นมา แขนขาที่เป็นหนองพุผองก็แห้งหายสนิทโดยไม่ต้องอาศัยยาหม้ออีกต่อไป)

แม่เห็นพวกฉันต้องลำบาก เพราะไม่ชินกับเรื่องอาหาร จึงขอป้าย้ายกลับมาอยู่ตาคลี ซึ่งป้าบอกตัดขาด ไม่ยกที่ดินให้ แม่ก็ไม่ว่าอะไร เพราะลูกๆสำคัญกว่า

พวกเราได้กลับมาอยู่ตาคลีอีกครั้ง และแม่ก็ยึดอาชีพรับจ้างซักผ้าอย่างเดิม ฉันก็ได้กลับไปโรงเรียนเดิม ส่วนพ่อย้ายไปทำที่ จ.แพร่

ครูที่โรงเรียนชมว่าฉันเรียนเก่ง ร้องเพลงเก่ง เล่นกีฬาก็เก่ง ทำให้ฉันขยันใสใจในการเรียนมากขึ้น วันโกน วันพระ โรงเรียนปิด ฉันตื่นตี 5ไปช่วย น้าจุกกับน้าจิตรยายก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟในตลาด ได้ค่าแรงวันละ 3บาทแต่อิ่มท้อง และที่ฉันได้มากไปกว่านั้นคือ ได้สูตรการทำหมูแดงและซอสเย็นตาโฟนซึ่งเป็นสูตรลักจำที่จำติดตาจนทุกวันนี้....

ใกล้จะจบ ป.7 พ่อล้มป่วย ด้วยอาการเครียดทางประสาท พ่อบอกว่าฝืนต่อไปไม่ไหวแล้ว เวลาพ่อปวดหัว เส้นเลือดที่ขมับจะพองจนฉันกลัว แม่จะฝานมะนาวผ่าฉีกเอาปูนแดงที่กินกับหมากมาทาแล้วแปะไว้ที่ขมับพ่อ เพื่อหวังว่าอาการจะทุเลาลง พ่อต้องกินยา ซึ่งฉันจำได้ แต่อาจจะเพี้ยนไปบ้าง ออกเสียงประมาณนี้ "นีโอไวบ่อน" และ"วาเลี่ยม5" ซึ่งไปซื้อมาให้พ่อบ่อยๆ

และแล้วพ่อก็ลาออกจากงาน หลังจากที่พวกฉันเรียนจบ เพื่อพักผ่อนและดูแลย่าซึ่งป่วยเป็นโรคชรา นอนอยู่กับที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ พ่อจึงได้ใช้โอกาศนี้ทดแทนบุญคุณผู้ที่ให้กำเหนิด และตอนนี้พ่อตัดหมดทุกอย่าง เหล้า บุหรี่ ซึ่งพ่อสูบวันละ 2ซอง พ่อบอกว่า ไม่มีอะไรดีขึ้น มีแต่จะเสียเงินและเสียสุขภาพ....

ฉันจบแค่ ป.7 ออกมาช่วยแม่ซักผ้าและรับจ้างหาบน้ำ พี่ชายจบ มศ.1 เข้ากรุงเทพไปประกวดร้องเพลงที่เสียงสามยอด ได้รับรองวัลชนะเลิศเยาวชนชาย และได้รับการอุปการะจากคุณอาพยงค์ มุกดา พี่จึงได้งานโดยไปจัดรายการวิทยุกับท่าน พอได้เงินก็ส่งมาจุนเจือทางบ้าน เพื่อส่งให้น้องคนเล็กได้เรียนต่อจนปัจจุบันน้องคนนี้ได้เป็นข้าราชการในสถาบันวิจัย มหาลัยขอนแก่น แต่ตัวพี่เองกลับตกอับเพราะอาชีพศิลปินไม่ยั่งยืน พี่คนโตจบ มศ.3 ปัจจุบันเป็นหัวหน้าที่ทำการไปรษณีย์โทรเลข
ส่วนฉัน....ต้องอ่านต่อ

รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ยายหนู
แม่ไข่นกกระทา พ่อไข่จะละเม็ด
 
โพสต์: 2789
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.พ. 15, 2006 11:54 pm

โพสต์โดย ยายหนู » อาทิตย์ ม.ค. 27, 2008 1:26 am

หลังจากที่ย่าจากไป พ่ออาการดีขึ้น จึงเดินทางเข้ากรุงเทพ ไปอาศัยทำงานอยู่กับคุณอาพยงค์ มุกดา เป็นคนสวนและซ่อมแซมทั่วไป ต่อมาพ่ออยากจะให้แม่กับฉันไปอยู่ด้วย เพราะป๋า(คุณอาพยงค์)ใจดี ต้องการแม่บ้าน และคนดูแลทั่วไปทั้งด้านอาหารและความสะอาด เราจึงตกลงไปใช้ชีวิตร่วมชายคากับศิลปินชื่อดังของเมืองไทย...

ฉันจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เราจึงต้องย้ายกลับมาอยู่ตาคลีเช่นเดิม แต่จำได้ว่า ตอนนั้นพ่อเข้าสมัครทำงานเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยของรัฐวิสาหะกิจ ที่การเคหะแห่งชาติ คลองจั่น พ่อบอกว่างานสบาย เบิกค่ารักษาพยาบาลได้เหมือนข้าราชการ พ่อไม่ต้องรับภาระส่งพวกฉันเรียนต่อ แต่กลับมารับภาระส่งหลานๆ 2คน เป็นลูกของพี่สาวซึ่งเลิกกับสามีไปแล้ว

วันหนึ่งพี่สาวฉันได้พา จ่าทหารมาเที่ยวบ้าน และหนึ่งในนั้นต่อมาก็คือพ่อของลูกฉันทั้ง 3คน ที่ต้องตัดความอันยาวเหยียดออกไปซะบ้าง เพราะไม่ต้องการจำเรื่องราวอันแสนเจ็บปวด ของวัยสาวไร้เดียงสา และสามีซึ่งบางครั้งเปรียบเสมือนสัตว์เดียรัจฉานในเดือนสิบสอง เกลียดขี้เหล้า ก็ต้องเจอ สามีคนนี้ครบ เหล้า นารี บุหรี่ การพนัน เป็นอันว่า ตอนนี้ฉันมีลูกชาย 3คนก็แล้วกัน...เงินเดือนข้าราชการผู้น้อย จะไปพอกินอะไร ฉันจึงไปซื้อไข่ เงาะ ปลาทูจากตลาด มาขี่จักรยานขายในบ้านพักข้าราชการ ในกรมทหาร แต่แหม...เวลาจะกินง๊าย ง่าย ถึงเวลาจ่ายปิดบ้านหนี...เจ๊งครับ....

เลยเปลี่ยนมารับขนมถ้วยซึ่งพี่ชายและแม่เป็นคนทำส่ง เขาอยู่ในตลาด แต่เราอยู่ในแค้มป์ทหาร ไกลตั้ง 10กว่ากิโล แต่ก็ต้องเลือกที่จะทำ คุณนึกภาพออกไหม การขี่จักรยาน พร้อมลูก 3คนตอนตี 4ของฤดูหนาว มือหนึ่งจับแฮนด์ แขนหนึ่งอุ้มลูกวัย 1ขวบพาดบ่า ตะกร้าหน้ารถใส่ใบตองขวดนมและผ้าห่มผืนเล็กๆ(พีทีไอตาสก๊อต) ขี่ๆไป ลูกข้างหลัง 4ขวบนั่งหลับ ก็เอนจะหล่น ลูกข้างหน้า 2ขวบครึ่งนั่งหลับเอนไปเอนมา ต้องคอยปลุกคอยเรียกกันตลอกทาง ขี่ออกมาปากช่องทางกองบิน ทุกวันจะมีทหารยามคอยรีบเข้ามารับแล้วเอารถไปจอดให้ เรา 4คนแม่ลูกก็ออกมานั่งอยู่ริมถนน เพื่อรอรถสองแถวที่จะผ่านไปตลาดมารับ อาหาศหนาว ลูกๆก็หลับซุกรอบๆตัวแม่ นึกถึงที่พาลูกๆลำบากแล้วปวดใจจัง....

เมื่อถึงบ้านแม่ก็เอาลูกๆเข้ามุ้งนอนต่อ ฉันก็หาบขนมถ้วยออกไปขายในตลาด ประมาณ 8โมงเช้าขายหมด ก็เข้ามาช่วยแม่ซักผ้า บ่ายรีดผ้าส่งลูกค้าเสร็จก็ซื้อกับข้าว พาลูกๆกลับเข้าบ้านพักในกรมทหาร ทำอยู่อย่างนี้เกือบปี จึงกู้เงินสหกรณ์ได้มา 3หมื่นบาทออกมาซื้อบ้านเก่าๆอยู่ถัดจากบ้านแม่ไปหน่อย แต่ที่ดินต้องเช่า และต่อเพิงด้านหลัง ทำเป็นครัวกว้าง สำหรับทำขนมน้ำขายส่ง จำพวก เต้าส่วน บัวลอย ถั่วดำ ปลากิมไข่เตา ข้าวเหนียวสังขยา ขนมต้มถั่วแป็บ เป็นต้น จากน้อยก็เพิ่มมากขึ้น มากขึ้น ตามความต้องการของลูกค้า(ลงมะพร้าวอาทิตย์ละเป็นพันๆลูก) บางครั้งในฤดูเกี่ยวข้าวขายดีมาก ข้าวเหนียวมูนวันละถังสองถัง ฉันไม่ได้นอนเลยติดต่อกัน 3วัน อาศัยกระทิงแดงช่วย ขายได้มาก แต่รายจ่ายก็มาก เพราะลูกๆกำลังโต จนกลายเป็น รายจ่ายมากกว่ารายได้ เป็นหนี้ ติดค่าของที่ร้านค้าเอาไว้ เป็นดินฟองหางหมู

วันหนึ่งมีเพื่อนมาชวนให้ไปสมัครทำงาน ผู้ช่วยแม่บ้านที่ฮ่องกง โดยผ่านกรมแรงงานที่จังหวัด เราจึงพากันไปสมัคร หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เรียกตัวให้ไปเรียนภาษาทีบริษัทซึ่งอยู่ที่สะพานควาย ฉันไม่สามารถเข้าเรียนและพักที่นั่นได้ เพราะต้องใช้เวลาถึง 3เดือน จึงขอหนังสือและเทป มาเรียนด้วยตัวเองที่บ้าน หลานคนส่วยหน้า ในทำนองว่าจะไปเรียนด้วยตัวเองได้ยังไง โดยที่ไม่มีครูสอน แต่..คนเราไม่สองไม่รู้

ถึงบ้าน ฉันจัดการ เขียนคำต่างๆในการสิ่งของภายในบ้าน แล้วแปะตามสิ่งของนั้นๆ เห็นทุกวัน อ่านทุกวัน อีกอย่างเปิดเทปแบบฟังเพลงเลย อย่าว่าแต่ฉันเลยที่จำได้ ลูกฉันก็พลอยจำได้กันหมดทุกคน เมื่อครบกำหนด เอเย่นต์เรียกตัวเข้ามาทดสอบ ปรากฏว่า ฉันกลับพูดได้ดีกว่าคนอื่นซะอีก แต่ต้องอยู่เรียน เรื่องการเรียกเวลาอีก 1อาทิตย์ ฉันทำได้สบาย ทดสอบจากกรมแรงงาน ผ่าน ได้ กว่า 80 เป็อร์เซ็นต์

และเมื่อถึงวันกำหนดบิน พ่อมาบอกลาฉันที่บริษัท เพราะต้องกลับไปเข้างาน และนั่นคือวันที่ฉันเห็นพ่อเป็นครั้งสุดท้าย พ่อบอกว่า พ่อรู้ว่าฉันเก่ง เอาตัวรอดได้ แต่จำไว้ให้ดี จงทำตัวให้เจ้านายเขารัก ไว้ใจได้ อย่ามือไวใจเร็ว หยิบฉวยของเขามาเป็นของเรา มันไม่ดี ....."ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน"

รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ยายหนู
แม่ไข่นกกระทา พ่อไข่จะละเม็ด
 
โพสต์: 2789
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.พ. 15, 2006 11:54 pm

โพสต์โดย pal » อาทิตย์ ม.ค. 27, 2008 3:28 am

ยายหนูจบแล้วหรือค่ะ แพรวจะคอยอ่านตอนต่อไปนะคะ ขอบคุณยายหนูที่ถ่ายทอดประสบการณ์ที่มีค่าให้ได้อ่านค่ะ ชอบยายหนูทำงานเก่งและขยันมาก ติดตามเรื่องของยายหนูมาตลอดค่ะ เอาไว้เป็นแบบอย่างและเอาไว้คอยเตือนตัวเองว่าจงอย่ายอมแพ้้ถ้ายังไม่ได้สู้ค่ะ
<img border="0" src="http://tickers.TickerFactory.com/ezt/d/2;10709;31/st/20071108/n/Brandon/dt/12/k/9180/age.png"></a><br>
ภาพประจำตัวสมาชิก
pal
แม่ไข่ตุ๋น พ่อไข่ต้ม
 
โพสต์: 40
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ก.ย. 29, 2007 10:42 am

โพสต์โดย ยายหนู » อาทิตย์ ม.ค. 27, 2008 6:43 am

อยู่ไกลใครก็ลืม อยู่ใกล้ใครก็รัก ฉันเจอเข้ากับตัวเองแล้ว หลังจากที่ ห่างเขามาได้เพียงไม่ถึง 3เดือน เขาก็พาหญิงอื่นเข้ามาร่วมชายคาเดียวกันกับลูกๆ แรกๆพอรู้ข่าว ฉันร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลัง กินไม่ได้นอนไม่หลับ ยืนล้างถ้วยจานอยู่ในครัว สายตาทอดออกไปไกล เห็นรถไฟวิ่งเป็นขบวนยาว ทำให้หวนคิดถึงบรรยากาศที่บ้าน น้ำตาก็พาลไหลออกมาอีก ยายจ้างก็ด่า แต่ตอนนั้นยังฟังไม่รู้เรื่อง ยิ่งอัดอั้น เก็บกด เมื่อไรหนอจะถึงวันอาทิตย์ จะได้ออกไปเจอกับผู้คนภายนอก และได้พูดคุยกับคนไทย จะได้ระบายเรื่องอึดอัดนี้ ฉันเฝ้ารอ ทุกๆคืนวันเสาร์ ฉันไม่เคยได้หลับ เพราะอยากจะให้สว่างเร็วๆ เหมือนนกต้องการบินออกจากรังในตอนเช้าตรู่.....

เซฟเว่น-อีเลฟเว่น เป็นที่นัดพบของฉันกับเพื่อนสาวชาวฟิลิปปินส์ ทุกวันเราจะไปจ่ายกับข้าว และพูดคุยกัน โดยใช้ภาษาจีนเป็นสื่อ "ฉันต้องการเรียนภาษาอังกฤษ" ฉันเปรยกับหล่อน หล่อยรีบตอบรับ "ได้ซิ" ฉันโทรกลับไปให้ทางบ้านส่งหนังสือเรียนภาษาอังกฤษมาให้ ฉันพยายามตั้งใจเรียน ด้วยหวังใจไว้ว่า วันหนึ่งในอนาคต ฉันอาจจะมีโอกาศได้สามีฝรั่งกับเขาบ้าง....

ทุกๆวันอาทิตย์ ฉันมีโอกาศได้พบปะกับผู้คนมากหมาย จากการแนะนำของเพื่อนสาว คำแรกที่เขาทักมา" กู๊ดมอร์นิ่ง" ฉันตะกุกตะกัก ไม่รู้จะตอบอย่างไรได้แต่พยักหน้าแล้วยิ้ม เอาล่ะวะ ถ้าเจอคนต่อไปเราจะรีบทักก่อน จะได้รู้ว่าเขาตอบอย่างไร ฉันเริ่มเรียนรู้การทักทายสนทนาปราศัยเบื้องต้น บวกกับเป็นคนที่มีความจำดีเคยเรียนมาจากโรงเรียน จึงไม่ยาก ไม่ถึงปีฉันก็สนทนากับเพื่อนๆได้ ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยดีนัก แต่ก็ดีกว่าคนที่พูดไม่เป็นเลย ฉันคิดอย่างนั้น

ฉันสนุกกับการได้คบเพื่อนใหม่ ไปเที่ยวตามที่ต่างๆ และไปบาร์บีคิวบนยอดเขา เดี๋ยวคนนั้นวันเกิด เดี๋ยวคนนี้วันเกิด หลังจากบาร์บีคิวเสร็จ เราก็เข้าบาร์ เป็นบาร์สำหรับแม่บ้าน เปิดบ่าย 2โมง ฉันสนุกจนลืมเรื่องนั้น บางวันสนุกจนลืมเวลารถไฟ กลับเข้าบ้านดึก นายจ้างไม่พอใจ ยื่นคำขาด ห้ามกลับหลัง 2ทุ่ม และห้ามออกจากบ้านก่อน 8โมงเช้า ฉันแข็ง โดยเอากฏของกรมแรงงานมาอ้าง ว่าฉันจะต้องได้หยุดอาทิตย์ละ 24ชั่วโมง นายไม่พอใจ จนวันหนึ่งเขาว่าฉันขโมยเงิน จับข้าวของของฉันโยนมากองที่ห้องโถง และบอกว่าถ้าไม่เอาเงินมาคืนจะส่งกลับเมืองไทย ฉันอธิบายก็ไม่ฟัง ได้แต่ด่าอย่างเดียว ฉันรู้ว่าใครเป็นคนเอาไป เลยบอกให้โทรเรียกลูกเลี้ยงคนโตมาถาม สุดท้ายลูกเลี้ยงก็ยอมรับว่าเป็นคนเอาไป และมาขอโทษฉัน

รูปภาพ

ทำความดีแต่ไม่เห็นความดี ฉันอุตส่าห์ตั้งใจให้ความรักความเอ็นดูกับลูกสาวเล็กๆวัยไร่เรี่ยกัน 4-5-6ขวบ ของเธอเหมือนกับลูกของตัวเอง ให้ขี่คอเดินไปโรงเรียนทุกวัน ทั้งไปและกลับเป็นระยะทางเกือบ 2กิโล ความอดทนจึงสิ้นสุดลง เมื่อหล่อนบอกว่าเสื้อราคาแพงของหล่อนหายไป จะบ้ารึไง ตัวหล่อนเล็กนิดเดียว ฉันจะยัดเข้าไปได้ยังไง หล่อนว่า ฉันอาจจะเอาไปขายให้เพื่อนก็ได้ เออ ..จะบ้าไปกันใหญ่แล้ว ครบปี ฉันตัดสินใจลาออก และไปอาศัยอยู่กับเพื่อนๆคนไทยที่หนีวีซ่าแอบหลบเช่าบ้านอยู่ ทำงานเป็นพนักงานทำความสะอาดทั่วไป แล้วแต่เขาจะส่งไป

ฉันเป็นอิสระ สบายใจ มีบัตรประชาชนไว้โชว์เวลาตำรวจขอตรวจ วีซ่าในพาสก็ยังเหลืออีกปี แต่ถ้าเขาเช็ค ก็จะทราบเพราะนายจ้างฉันต้องยกเลิกสัญญาแล้วแน่นอน ฉันทำได้เกือบปี ทางบ้านก็ส่งข่าวมาว่า พ่อฉันจากไปแล้ว ด้วยโรคหัวใจวาย ฉันซื้อตั๋วเครื่องบินและเข้ามอบตัวต่ออิมมิเกรชั่น เพื่อขอกลับบ้าน แต่ต้องไปขึ้นศาล และเสียค่าปรับเป็นเงิน 2000เหรียญฮ่องกง และถูกพากทัณ(สะกดไม่ถูก)ว่า ภายใน 1ปี ห้ามกลับเข้ามากระทำผิดอีก มิเช่นนั้นจะต้องถูกจำคุกเป็นเวลา 4เดือน

เมื่อถึงเมืองไทย สามีฉันรีบให้หญิงคนนั้นออกจากบ้าน และมารอรับเสนอหน้าบอกว่า "กลับบ้านเราเถอะ" พร้อมทั้งเดินเข้ามากอด ฉันโมโหปัดป้องและร้องกรีดแบบอัดอั้นขยักแขยงไม่ให้เขาเข้าใกล้ หลังจากงานศพพ่อ ฉันก็ขอหย่า เปลี่ยนนามสกุล และเดินทางเข้ากรุงเทพโดยมีพี่ชายมารับไปอยู่ด้วย ซึ่งตอนนี้พี่ชายฉันได้งานเป็นคนขับรถให้ฝรั่งนักธุรกิจชาวอเมริกัน ฉันก็ไปเป็นคนรับใช้ ซักผ้าทำกับข้าว ได้เงินเดือนแค่2-3พันบาท ไม่พอส่งให้ลูกๆเรียน วันหนึ่งนายฝัร่งจะพาพี่ชายไปเที่ยวต่างประเทศด้วย พี่เลยทิ้งเงินไว้ให้ฉันหมื่นกว่าบาท บอกว่าให้กลับไปอยู่กับแม่ก่อน เมื่อพี่กลับมาแล้วจะไปรับ ฉันรับเงินนั้น ขึ้นรถเมล์ผ่านตลาดหมอชิต แต่ไม่ลง กลับนั่งเลยไปดอนเมือง ฉันตัดสินใจในทันวินาทีนั้นว่าจะกลับไปฮ่องกงอีก ฉันเดินเข้าสนามบินไปยืนที่หน้าเคาท์เตอร์ขายตั่วการบินไทย บอกว่าต้องการไปฮ่องกงวันนี้ พนักงานจัดการเรื่องตั๋วเสร็จบอกว่า อีก 20นาทีเครื่องออก ฉันเดินไปเช็คอินในมือถือพาสและตั๋ว ใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์รองเท้าผ้าใบเก่าๆ(แต่เท่ระเบิด)

เมื่อถึงสนามบินฮ่องกงเจ้าหน้าที่ประทับตราวีซ่า 14วัน ฉันเรียกขึ้นเท็กซี่ตรงซิงไปบ้านที่เคยอยู่ เมื่อถึงบ้านเพื่อนๆตกใจปนดีใจที่เห็นฉันกลับมาอีก แต่ครั้งนี้ ฉันไม่มีบัตรประชาชนอีกต่อไป เพราะเจ้าหน้าที่ยึดไปแล้ว หางานยากล่ะซีทีนี้ แต่เนื่องด้วยน้ำใจคนไทย บวกกับฉันพูดได้ทั้งจีนและอังกฤษ จึงมีพี่คนไทยคนติดต่อให้ไปทำงานร้านซักรีด อยู่ฝั่งฮ่องกงย่านธุรกิจ ฉันลืมคำที่ผู้พิพากษาพูดเสียสนิท

ฉันทำงานกับฟิลิปปินส์สาวอ่อนกว่าฉัน5-6ปี เราสองคนนอนในร้าน ซึ่งมีห้องยังกับรังหนูไว้ให้ซุกหัวนอน ฉันสนุกกับงานนี้มาก เพราะเป็นงานที่ถนัดมาตั้งแต่เด็ก แน่นอนฉันทำได้ดี ลูกค้าชอบ ทิปดี นายก็ให้เปอร์เซ็นต์งามเพราะทำบัญชีรายรับรายจ่ายให้เสร็จสรรพเรียบร้อย เรื่องเที่ยวลดน้อยลง เอางานและเงินไว้ก่อน จนวันหนึ่ง เป็นวันเกิดของเพื่อน ฉันจึงได้รู้จักกับหนุ่มเนปาล ทหารรับจ้างของอังกฤษ หุ่นแมน หล่อยังกับดารา เราส่งตาหวานปิ้งกัน และต่อมาเราก็ตกหลุมรักซึ่งกันและกัน

"คูล" เป็นครูฝึกทหาร สุภาพ และเข้าใจในตัวฉันไปทุกเรื่อง ทุกอย่าง อ่อนหวาน โรมานติก เขามักจะให้ของขวัญฉันเสมอในวันสำคัญๆ วันเกิดก็ซื้อทองพร้อมจี้ให้ พาไปหาหมอเมื่อวันหนึ่งฉันเกิดเป็นไข้หนัก เขาโทรเช้าโทรเย็น ห่วงหาอาทร และแล้ว"ดังนรกชังหรือสวรรค์แกล้ง" เจ้าหน้าที่สรรพากรมาตรวจ(ไม่ไช่น้องกุ๊กหรอกน่ะ)แล้วก็โทรไปบอกอิมมิเกรชั่นมาตรวจพาสฉัน.....ฉันถูกใส่กุญแจมือ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ยายหนู
แม่ไข่นกกระทา พ่อไข่จะละเม็ด
 
โพสต์: 2789
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.พ. 15, 2006 11:54 pm

โพสต์โดย kuk » จันทร์ ม.ค. 28, 2008 3:07 am

ขอบคุณสำหรับประสบการณ์ ที่นำมาถ่ายทอดให้คนรุ่นน้อง รุ่นลูก ได้อ่านนะคะ ติดตามเรื่องของพี่ยายหนูมาพอสมควร แต่ครั้งนี้พี่เล่าได้ละเอียดมากคะ

เรื่องราวเล่าผ่านตัวหนังสือ อ่านแค่แป๊ปเดียวก็จบ แต่ชีวิตจริง ๆไม่ง่ายเหมือน ไม่เร็วเหมือนตัวหนังสือเลยนะคะ จะรออ่านต่อนะคะ พี่ยายหนู

ปล.คิดถึงพี่ยายหนูคะ
<i><span style='font-family:Times'><span style='font-size:14pt;line-height:100%'>ความรู้สึกดี ๆ ๆ มีให้กันเสมอ</span></span></i><br><br><img src='http://i198.photobucket.com/albums/aa193/kuk_111/49339c8d679b5-1.jpg' border='0' alt='user posted image' /><br><br><a href='http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=baanbaitong' target='_blank'>บ้านใบตองคะ</a>
ภาพประจำตัวสมาชิก
kuk
แม่ไข่กุ้ง พ่อไข่ปู
 
โพสต์: 1810
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ค. 02, 2007 2:17 am

โพสต์โดย indingolove » จันทร์ ม.ค. 28, 2008 3:48 am

มาต่อเร็วๆ นะคะพี่ยายหนู หวานละชอบการสู้ชีวิตของยายหนูมากเลยค่ะ ติดตามเป็นแฟนพันธ์แท้ยายหนูมานานแล้วน๊า
ภาพประจำตัวสมาชิก
indingolove
แม่ไข่ดาว พ่อไข่เจียว
 
โพสต์: 308
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ก.ย. 08, 2007 8:02 am

โพสต์โดย kuk » จันทร์ ม.ค. 28, 2008 7:08 am

ตามมาจากตอนที่ 1 คะ พี่ยายหนูไปไหนซะแล้ว ฮัลโหล ฮัลโหล 1...2...3
มีคนคิดถึงอยู่นะคะ

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'><span style='color:red'>กลับมาอ่านต่อ โห...มีพาดพิงด้วยอ่ะ พี่ยายหนูขา แบบนี้เค้าก็รู้กันหมดนะสิว่า ทำอะไรอยู่ ว่าแล้วก็เผ่นดีกว่า อิอิ</span></span>
<i><span style='font-family:Times'><span style='font-size:14pt;line-height:100%'>ความรู้สึกดี ๆ ๆ มีให้กันเสมอ</span></span></i><br><br><img src='http://i198.photobucket.com/albums/aa193/kuk_111/49339c8d679b5-1.jpg' border='0' alt='user posted image' /><br><br><a href='http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=baanbaitong' target='_blank'>บ้านใบตองคะ</a>
ภาพประจำตัวสมาชิก
kuk
แม่ไข่กุ้ง พ่อไข่ปู
 
โพสต์: 1810
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ค. 02, 2007 2:17 am

โพสต์โดย ยายหนู » จันทร์ ม.ค. 28, 2008 8:27 am

ไม่อยากจะบรรยายและพูดถึงบรรยายกาศในคุกที่ถูกนำไปฝากขังก่อนขึ้นศาล ย้ายที่แล้วที่เล่า เปลี่ยนมันไปอยู่นั่นแหละเกือบอาทิตย์ และล่าสุด ฉันก็ต้องมายืนอยู่ต่อหน้าศาล และถูกตัดสินติดคุก 2เดือน บวกกับของเก่าอีก 4เดือน รวมเป็น 6เดือน

น้ำตาแห้งเหือดอยู่ภายใน ทั้งๆที่เป็นคนที่บ่อน้ำตาตื้น แต่ครั้งนี้ ไม่เศร้าโศรกเสียใจ ชีวิตภายในคุก ก็ไม่ได้ต่างจากในหนังมากนัก เพียงแต่ฉันทำตัวเฉย ให้ทำอะไรก็ทำ พูดน้อยแต่คิดมาก เหมือนสงบเพื่อตั้งสติประมาณนั้น ฉันเขียนชื่อเพื่อน และชื่อคูลเป็นญาติที่อนุญาตให้เยี่ยมได้ และก่อนที่ฉันจะถูกส่งไปเรือนจำกลาง คูลก็มาเยี่ยม ฉันดีใจมาก อยากโผเข้ากอด แต่เราเหมือนอยู่กันคนละฝาก คนละห้อง เพราะมีพลาสติกใส โดยถูกเจาะเป็นรูเล็กเท่าสาคูเม็ดใหญ่ เพื่อให้เสียงพอเล็ดออกออกมาได้ในขณะที่คู่สนทนากำลังคุยกัน

น้ำตาฉันไหลอาบแก้ม ฉันยกมือเอานิ้วทั้งสิบปิดที่รูนั้น ในขณะที่คูลก็ทำเช่นกัน เราได้สัมผัสซึ่งกันและกัน กันถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ปลายนิ้ว แต่ความรู้สึกในตอนนั้นมันสูขล้น น้ำตาของลูกผู้ชายไหลหยดเมื่อเขากระพริบตา คูลบอกว่าจะส่งเงินไปให้ทางบ้าน 3หมื่น จะบอกข่าวนี้แก่ครอบครัวฉัน และจะซื้อตั๋วเครื่องบินมาให้ เขาสัญญาว่าจะรักฉันตลอดไป และหลังจากที่ฉันออกจากคุก อยากจะให้ฉันไปทำงานที่ดูไบ ส่วนเขาจะลาออกจากงานนี้และไปสมัครเป็นยามรักษาการณ์ที่นั่น เราอาจจะได้เจอกันและอยู่ด้วยกันอีกครั้ง ฉันรับปากสัญญา ก่อนกลับเขาบอกว่าจะมาเยี่ยมฉันอีกไม่ว่าเขาจะส่งตัวฉันไปที่ไหนอีกก็ตาม ฉันไม่นึกเลยว่านี่คือครั้งสุดท้ายที่เราได้เห็นหน้าและได้สัมผัสกัน

ฉันถูกส่งตัวมาอยู่ที่เรือนจำกลาง ที่นี่สะอาดกว้างขวาง ใหญ่โต อยู่กลางหุบเขา ฉันตั้งสติ สงบเช่นเคย ไม่ว่าอะไรจะกดดันก็ตาม คิดแต่เพียงว่า ไม่นานก็จะได้กลับบ้านแล้ว นักโทษที่นี่ต้องทำงานทุกคน แล้วแต่ความถนัดและสมัครใจ คนไทยกลุ่มใหญ่จะอยู่แผนกคัดเลือกเสื้อผ้า ส่วนฉันถูกส่งไปอยู่กลุ่มฟิลิปปินส์เพราะฉันถนัดรีดผ้า เป็นล่ามบ้าง วันหนึ่งเสียงตามสายเรียกหมายเลขประจำตัวฉัน ฉันดีใจสุดชีวิต รีบออกไปรอ ฉันรอแล้วรอเล่าเป็นชั่วโมง เจ้าหน้าที่ก็ไม่เรียกตัว จนหมดเวลาเยี่ยมเจ้าหน้าที่หันมาบอกว่าเขากลับไปแล้ว พูดแค่เนี่ยะ แล้วก็ไล่ฉันกลับไป

ฉันถูกหัวหน้าเรือนจำเรียกเข้าพบ และบอกว่าฉันจะพ้นโทษก่อนกำหนด ฉันดีใจแต่ไม่สามารถติดต่อใครได้ นี่มันเกิดอะไรขึ้น พวกเขาทิ้งฉันแล้วหรือ ฉันกลับมารอที่คุกเดิมเพื่อรอญาติติดต่อเอาตั๋วเครื่องบินมาให้ ฉันพยายามติดต่อทุกคน แต่ไม่สามารถติดต่อใครได้เลย จดหมายไปก็ไม่มีใครตอบมา มันเกิดอะไรขึ้น สงครามประสาทกำลังเล่นงานฉัน เมื่อคืนหนึ่ง มีคนตกใจร้องกรึดขึ้นมากลางดึก ทุกคนร้องกรีดตาม แต่สำหรับฉันไม่..จนเพื่อนบางคนหาว่าฉันเล่นไสยศาสตร์...จะบ้าหรอ

ครบกำหนดต้องเดินทาง แต่ยังไม่มีใครมาเยี่ยมเลย ฉันจึงปรึกษาผู้คุมหญิงใจดี เธอบอกว่าถ้าเธอกลับไปบ้านจะโทรติดต่อเพื่อนๆให้ ที่นี่เขาไม่อนุญาตให้โทร รุ่งขึ้นเธอก็มาบอกว่า เคยมีญาติมาติดต่อ แต่เจ้าหน้าที่บอกเขาไปว่า ไม่มีนักโทษหมายเลขนี้ เขาเลยฝากตั๋วเครื่องบินไว้ที่อิมิเกรชั่นอ๊อฟฟิตใหญ่ แต่ทางโน้นก็ไม่ติดต่อมา เธอแนะนำว่า ถ้าเจ้าหน้าที่เรียกไปพบอีกและถามถึงตั๋วก้ให้บอกว่าญาติฝากไว้แล้วเขาก็จะติดต่อกันเอง

เมื่อฉันได้ตั๋วก็ถึงวันเป็นอิสระ แต่มันไม่ได้เป็นไปตามที่ฉันคาดหมาย ฉันยังถูกใสกุญแจมือติดกันกับเพื่อนนักโทษเป็นคู่ๆ เดินขึ้นสนามบิน เข้าไปรอในห้องเจ้าหน้าที่ตรวจเอกสารเรียบร้อย ปลดกุญแจมือและพาฉันเดินลัดคิวผ่านไปยื่นพาส และพาฉันไปส่งให้ลูกเรือของสายการบิน.....เมื่อคราวที่ฉันใช้บริการ เวลาเดินเข้าเครื่องพนักงานจะยืนยกมือไหว้อย่างสะสวย แต่ครั้งนี้มองฉันดังกับว่าฉันเป็นนักโทษ...เออ...แต่ฉันก็นักโทษจริงๆนั่นแหละ.....

เมื่อถึงบ้านฉันรีบโทรหาเพื่อน ถามข่าวคราวและเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้เพื่อน รวมทั้งถามข่าวของคูลด้วย เพื่อนคนหนึ่งบอกว่า คูลกลับเนปาลแล้ว เช้าวันเดียวกับที่ฉันกลับเมืองไทยนั่นแหละ เขาบ่นกับเพื่อนฉันว่า ทำไมฉันไม่ต้องการพบเขาเมื่อครั้งที่เขาไปเยี่ยม และเพื่อนฉันยังบอกอีกว่า เพื่อนรุ่นพี่คนที่ฝากงานร้านซักผ้าให้ฉัน บอกกับคูลว่า ฉันถูกจับเพราะ "ขายตัว" เออ..เป็นไปได้หนอคน

หลังจากนั้นมาฉันก็ไม่ได้ข่าวคราวของคูลอีกเลย ฉันสาบานว่า ฉันจะไม่ขอรักใครอีก เขาจะเป็นคนเดียวที่อยู่ในใจฉัน ....ขอปาดน้ำตากับสั่งขี้มูกก่อนนะ ....

รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ยายหนู
แม่ไข่นกกระทา พ่อไข่จะละเม็ด
 
โพสต์: 2789
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.พ. 15, 2006 11:54 pm

โพสต์โดย ยายหนู » จันทร์ ม.ค. 28, 2008 9:39 am

หลังจากที่กลับมาจาก"ห้องกง" ก็เริ่มหงุดหงิด คิดไม่ตกอีกว่าจะไปทำมาหากินอะไรเพื่อให้ได้มาซึ่งเงินที่จะพอเพียงเลี้ยงลูกๆทั้งสามได้.... วันหนึ่ง หลานสาวก็โทรมาถามว่า น้าพูดภาษาอังกฤษได้ไช่ไหม มาช่วยทำโทรศัพย์หน่อย ....เอ..?ทำโทรศัพย์มันเกี่ยวอะไรกับพูดภาษาอังกฤษฟะ...งง

ถึงบางอ้อก็ตอนที่มาถึงศรีราชา เมืองท่าเรือสินค้าใหญ่ เป็นงานด้านบริการโทรศัพย์ระหว่างประเทศ คือ เอาโทรศัพย์มือถือไปให้ลูกเรือโทร และคิดเป็นนาที เพราะลูกเรือไม่สามารถลงจากเรือซึ่งบางลำทอดสมออยู่กลางทะเล งานนี้ต้องอาศัยไหวพริบ คุยเก่ง เพราะคู่เข่งเยอะ ฉันทำได้เท่าไรก็จดลงสมุดทั้งเบอร์ที่โทร นาที และจำนวนเงิน ส่งให้หลานสาว ถึงเดือน หลานบอกว่า หักแล้วน้าเหลือเงิน ที่เป็นกำไร 3หมื่น อู้ฮู ...ได้เยอะขนาดนั้นเชียวเรอะ เมื่อเห็นเงินดีแบบนี้ ฉันก็ทำงานแบบหามรุ่งหามค่ำ เรือเข้าตี 1ตี2 ก็ต้องตื่นออกไปกลางทะเลปีนขึ้นเรือทั้งๆที่กลัวจะถูกลูกเรือยันตกลงน้ำ แต่เนื่องด้วยเป็นผู้หญิงและพูดภาษาได้นี่แหละ จึงได้เปรียบ

เมื่อฉันขึ้นถึงเรือได้ก็จะวิ่งขึ้นไปหากัปตันทันที พร้อมทั้งยื่นพาสปอร์ตให้ดู แสดงว่าฉันมาดี พร้อมทั้งบอกรายละเอียดแสดงความจำนงค์ว่ามาเพื่ออะไร หรือถ้าจะยึดหนังสือฯของฉันก็ไม่ว่า

หลังจากนั้นฉันก็ไล่ล่า ลูกค้าทันที พอกัปตันว่างก็จะให้ลูกเรือมาเรียกฉันไปพบ บางครั้งฉันเห็นเอเย่นต์มาแนะนำตัวและบอกขายเสบียงอาหาร เอ...แบบนี้ฉันน่าจะทำได้ ฉันแอบคิดอยู่ในใจ และเมื่อได้โอกาส ฉันก็จะเรียนรู้เรื่องขายเสบียงจากกัปตัน และหัวหน้ากุ๊ก จนวันหนึ่งฉันก็ยึดอาชีพส่งเสบียงเป็นรายได้อีกทางหนึ่ง

บ่อยครั้งที่หลานกับฉันต้องแยกลำกันทำ เพราะเรือดีๆเข้าพร้อมกัน และวันหนึ่ง หลานก็โทรมาบอกว่า กัปตันต้องการคุยด้วย ฉันคุยทางโทรศัพย์ได้ไม่กี่คำ กัปตันก็บอกอยากเห็นหน้าให้ไปหา...เราคุยกันอย่างถูกคอ กัปตันเป็นคนชาวอังกฤษ อายุใกล้เกษียณ เป็นหม้าย ต้องการคนดูแล เขาสามารถเลี้ยงลูกฉันทั้งสามคนได้ และอยากจะเห็นหน้าพวกเขา ฉันจึงโทรให้ลูกๆขึ้นมา

3วันต่อมา เรือต้องออกไปท่าอื่น กัปตันต้องการให้ฉันไปด้วย แต่ทางบ้านโทรมาว่า สามีเก่าฉันโดนรถชนตาย...ฉันต้องกลับไปจัดการกับคู่กรณี

กัปตันโทรมาหาฉันสองครั้งและวก็เงียบไป คงจะอยู่กลางทะเล ฉันปลอบใจตัวเอง โทรศัพย์ระบบ 800 สัญญาณเย่มาก ติดบ้างไม่ติดบ้าง ฉันจึงขายต่อเพื่อนแล้วซื้อใหม่เป็นระบบ GSM และย้ำเพื่อนว่า ถ้ากัปตันโทรมาให้บอกเบอร์ใหม่ไป วันหนึ่งฉันก็ได้รับจดหมายจากกัปตันว่า เรือจะล่องลงมาทางตอนใต้ของประเทศไทย และจะให้ฉันบินไปหา และเขาจะออฟที่นั่น จากนั้นก็จะแต่งงานและพาฉันไปอยู่อังกฤษ ฉันได้แต่อ่าน แต่ไม่สามารถตอบกลับไปได้ รอแล้วรออีก ก็ไม่มีวี่แววของกัปตันอีกเลย "รถไฟ เรือเมล์ ลิเก ตำรวจ"

ชีวิตเริ่มเซ็ง หัวใจเริ่มชา หลังจากงานศพฉันได้เงินจากทางราชการก้อนหนึ่งก็เอาไปวางดาวน์ซื้อบ้านจัดสรร และผ่อนกับธนาคาร มีมากให้มาก และเซ้งร้านอาหารบนเรือต่อจากเพือ่น แต่จ้างคนทำกับข้าว เพราะจะได้มีร้านไว้นั่งรอลูกค้า ฉันเหมือนแม่หม้ายทรงเครื่อง มีพี่ไทย ทั้งหนุ่มใหญ่หนุ่มน้อย ต่างก็เฝ้ามอง เหมือนหมาเห็นปลากระป๋อง ซึ่งฉันไม่เคยให้ความสนใจแบบชู้สาวเลย คบได้แต่แบบเพื่อน ปรบมือข้างเดียวไม่ดัง อันนี้เรื่องจริง

รูปภาพ

กัปตันคนแรกหายเงียบไป ก็มาเจอกัปตันคนที่สอง เป็นชาวโปแลนด์ คนนี้ฉันไม่ค่อยจะมีเวลาว่างคุยสักเท่าไร เพราะต้องบริการโทรศัพย์ดึกๆ แต่เขาก็ยังนั่งเฝ้า ฉันกำลังเห็นแก่เงินมากกว่าความรัก และไม่แน่ใจว่าคนนี้จะจริงจังด้วย แต่ เหมือนยิ่งยาก ยิ่งอยากได้ รุ่งขึ้นกัปตันให้ลูกเรือเรียกไปพบ บอกว่าต้องการสั่งเสบียง

คราวนี้ทำให้ฉันตาโต เพราะสั่งทั้งหมดเป็นเงิน 3แสนบาท เงินดอลล่าก็กำลังอ่อนตัวลง ฉันรีบรับงานนี้ทันที เพียงแค่โทรไปสั่งที่ร้านว่าต้องการอะไรบ้างเท่านั้น แล้วให้หลานเขยเอาเรือเล็กไปขนมาจากฝั่ง พอมาถึงเรือใหญ่ก็จ้างยามช่วยขนขึ้นมา ทำบัญชีก็ไม่ต้องทำ กัปตันพิมพ์ให้เสร็จสรรพ เซ็นต์ชื่ออย่างเดียว แค่นี้ฉันก็ได้เงินแสนแล้ว ง่ายไหม

แต่พอเสบียงเข้าสโตร์เสร็จ กัปตันบอกว่า รอเงินทางบริษัทส่งมาให้ ก่อนเรือออกได้แน่นอน จนถึงวันเรือถอนสมอ เงินก็ไม่มา ฉันใจไม่ดี แต่ท่าทางของกัปตันไม่ไช่คนขี้โกง เขาบอกว่า เรือจะออกไปเกาหลี แล้วก็จะไปยุโรปเลย เงินอาจจะไปออกที่เกาหลีก็ได้ ให้ฉันตามไป โดยเขาส่งหนังสือเชิญมาให้ พร้อมให้เอเจนซี่ที่เกาหลีเซ็นต์รับรองอีกที

ฉันแต่งตัวยังกับสาวออฟฟิต ใส่กระโปรงหางปลา เสือสูท หรูเชียว เขามารับและชมไม่หยุดปาก แล้วเขาก็สารภาพว่ารักฉัน เรื่องเงินเขาวางแผนเอง จริงแล้วเงินน่ะมีอยู่แล้ว แต่ต้องการให้ฉันไปหา ฉันอยู่ที่เกาหลี 23วัน กัปตันก็ออฟกลับบ้าน เราเดินทางมาสนามบินด้วยกัน และจากกันด้วยดี โดยไม่มีสัญญาใดๆ เขาอาจจะมีครอบครัวแล้วก็ได้

ฉันไขว่คว้าหามันอีกครั้ง แต่คิดว่าไม่น่าจะไช่ความรัก แต่เป็นอนาคตมากกว่า และแล้วฉันก็ได้รู้จักกับ กัปตันชาวกรีก คนนี้บ้าขนาด ให้เงินลูกฉันซื้อรถมอเตอร์ไซด์ 5หมื่น และบอกให้ฉันกลับไปรอเขาอยู่บ้าน ไม่นานเขาจะมาสู่ขอ และพาไปอยู่บ้านเขา ไม่ให้ทำงานที่นี่ เกรงว่าอาจจะเจอคนใหม่แล้วลืมเขา เรือออกไปประเทศจีน เขาให้ฉันตามไป แต่เราพลาดกัน เพราะเรื่องออกมาด่วน เรือไปรับสินค้าที่ประเทศอื่น สัญญาณโทรศัพย์มือถือของฉันรับสัญญาณในประเทศจีนไม่ได้ ฉันเสียใจมากในตอนนั้น คิดว่าเขาโกหก บวกกับ ช่วงนั้นค่าเงินบาทอ่อนตัวลงมาก ลูกเรือไม่มีเงินโทรศัพย์ และสั่งเสบียง ฉันจึงคิดที่จะไปดูหาเช่าที่ทางปลูกบังกาโล ขายอาหารตามสั่ง ที่เกาะช้าง ซึ่งมีคนบอกว่ากำลังบูมอัพ จึงสรวมวิญญาณทอมบอย สะพายเป้ ไปเที่ยว เกาะช้าง ดีฝ่า

เดี๋ยวขอร้องเพลง กลกามแห่งความรักหน่อยนะ เพลงนี้ชอบร้องมาก สะใจดี

ความรู้สึกนั่นหรือ... เหงา... อ้างว้าง.... ปล่าวเปลี่ยว.. เดินไปตามลำพังคนเดียว ไร้แม้ใครยึดเหนี่ยว ล่องลอยคว้าง กลางน้ำเชี่ยว สาดแรงซัดสุดแรงซ้ำอยู่ประจำสุดหลีกหนี เป็นอย่างนี้....เจออย่างนี้... ชีวิตมันไม่มีดีอะไร

เจ็บจนเกินเจ็บ ทุกข์จนลืมทุข ไม่ไช่ชีวิตแต่เป็นซาก...ชีวิต ถึงมีร่างแต่ก็ไร้ใจ ทุกสัมผัสแสดงให้ดูว่ารู้สึก ลีลา เสน่หา เร่าร้อน ผองไฟไหม้ลาม กลกามแห่งความรัก เผามันเข้าไป ดวงใจที่ราญร้าว... แหลก... ยับเยิน.. จะชั่วจะดี จะชี้ยังไง ขึ้นอยู่กับใครจะคิดไปเอง ฉันเป็นฉันเลือก เลือกทางฉันเอง ชีวิตเหมือนเพลง บรรเลงผิดคีย์.....

สิ่งที่ไฝ่และฝัน... หวัง... วาดไว้ ...ว่างเปล่า เป็นเพียงลมโชยมาบางเบา ที่เห็นก็เป็นเหมือนเงา สิ่งที่เหลือคือความเศร้า ฝากชีวิตกับความฝันกับวันวานจบแค่นี้ เกมแค่นี้ พอแค่นี้ ชีวิตมันก็ดีที่สะใจ......
ภาพประจำตัวสมาชิก
ยายหนู
แม่ไข่นกกระทา พ่อไข่จะละเม็ด
 
โพสต์: 2789
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.พ. 15, 2006 11:54 pm

โพสต์โดย rattikal » จันทร์ ม.ค. 28, 2008 10:59 am

พี่ยายหนูคะ ว่างแล้วมาต่อด้วยค่ะ เรื่องของพี่ยายหนูเป็นกำลังใจให้น้อง ๆ ที่ท้อ หมดหวัง กับชีวิต หลาย ๆ คน ได้คิดต่อสู้อีกครั้ง ติ๊กาเองมีเรื่องไม่ถึง1ใน100 ของพี่ยายหนูยังแหกปากร้องเป็นบ้า โวยวาย ไม่มีสติ พอมารู้จักพี่ยายหนู ทำให้มีกำลังใจขึ้นมา เร็ว ๆ นะคะ "นางฟ้า" ของน้อง ๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
rattikal
แม่ไข่ดาว พ่อไข่เจียว
 
โพสต์: 354
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ต.ค. 10, 2007 10:53 am

โพสต์โดย kuk » อังคาร ม.ค. 29, 2008 2:22 am

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>มาเกาะติดเหมือนเดิมคะ เป็นกำลังใจให้อีกต่อไปคะ</span>
<i><span style='font-family:Times'><span style='font-size:14pt;line-height:100%'>ความรู้สึกดี ๆ ๆ มีให้กันเสมอ</span></span></i><br><br><img src='http://i198.photobucket.com/albums/aa193/kuk_111/49339c8d679b5-1.jpg' border='0' alt='user posted image' /><br><br><a href='http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=baanbaitong' target='_blank'>บ้านใบตองคะ</a>
ภาพประจำตัวสมาชิก
kuk
แม่ไข่กุ้ง พ่อไข่ปู
 
โพสต์: 1810
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ค. 02, 2007 2:17 am

โพสต์โดย ยายหนู » อังคาร ม.ค. 29, 2008 3:50 am

ถ้าเข้ามาอ่านแล้วผ่านไป ก็เปรียบเสมือน เรื่องที่ท่านอ่านนี้ไร้สาระ ก็ไม่ว่ากัน แต่ถ้าท่านใดคิดว่าดีมีสาระ น่าเอาเป้นแบบอย่างก็ได้โปรด ออกความคิดเห็นบ้าง เพื่อเป็นกำลังใจแก่ผู้เล่า.....ขอบคุณน้องกุ๊ก และติ๊กา ที่สนใจติดตาม....
ภาพประจำตัวสมาชิก
ยายหนู
แม่ไข่นกกระทา พ่อไข่จะละเม็ด
 
โพสต์: 2789
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.พ. 15, 2006 11:54 pm

โพสต์โดย punnaporn » พฤหัสฯ. ม.ค. 31, 2008 2:04 pm

สวัสดี พียายหนู เอี้ยงเพิ่งเป็นสมาชิกใหม่ค่ะ อ่านเรื่องยายหนูมาหลายเรื่องแล้ว ยายหนูเป็นคนเก่งมาก มีความสามารถหลายด้าน เปิดร้านอาหารก็ประสบความสำเร็จ เล่าเรื่องก็เก่ง สู้ชีวิตขยันอดทน กล้าตัดสินใจ หนักเอาเบาสู้ หนูชื่นชมยายหนูมาก ขนาดเวลาก็ไม่ค่อยจะมี ยังอุส่าห์เจียดเวลามาแบ่งปันเรื่องราวดีๆให้เพื่อนอ่านอีก ขอเป็นกำลังใจให้ยายหนูนะ ขอให้กิจการรุ่งเรือง มีลูกค้าเยอะๆนะ และรักษาสุขภาพด้วย รออ่านเรื่องของยายหนูอยู่จ้า
ภาพประจำตัวสมาชิก
punnaporn
แม่ไข่ตุ๋น พ่อไข่ต้ม
 
โพสต์: 189
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 14, 2008 2:10 pm
ที่อยู่: มาดริด สเปน

โพสต์โดย แก้วเจ้าจอม » พฤหัสฯ. ม.ค. 31, 2008 5:30 pm

มาติดตามอยู่ตลอดคะ และอยากให้กำลังใจพี่ยายหนูด้วยคะ เพราะว่าเรื่องราวพี่ยายหนูอาจจะเป็นแง่คิดในการสู้ชีวิตคะ ชอบพี่ยายหนูที่เป็นกล้าได้กล้าเสียดีคะ
<span style='color:green'>กำลังใจ จากใครหนอ ขอเป็นทาง ให้ฉันได้ไหม</span>
ภาพประจำตัวสมาชิก
แก้วเจ้าจอม
แม่ไข่ตุ๋น พ่อไข่ต้ม
 
โพสต์: 165
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ส.ค. 20, 2006 12:18 pm

โพสต์โดย pimlapas » อาทิตย์ ก.พ. 03, 2008 6:53 pm

ยายหนู ขอบคุณนะคะ เดี๊ยวเอาไปให้แฟนคลับที่เวปพิมอ่านด้วยนะจ๊ะ ขอบคุณที่บอกมาจ้า
<a href='http://www.freewebs.com/pimlapas/' target='_blank'><span style='font-size:14pt;line-height:100%'>หิวๆเชิญแวะ ร้านน้ำพริก มีบริการส่งความสุขให้ครอบครัวที่เืมืองไทยในทุกเทศกาล และรับฝากซื้อของส่งจากไทยไปทั่วโลก คลิ๊กเลยจ้า</span> </a><img src='http://i131.photobucket.com/albums/p301/pimmybraz/smjk.jpg' border='0' alt='user posted image' />
ภาพประจำตัวสมาชิก
pimlapas
แม่ไข่นกกระทา พ่อไข่จะละเม็ด
 
โพสต์: 3740
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ม.ค. 15, 2006 1:46 pm

ต่อไป

ย้อนกลับไปยัง คุยกันเจ๊าะแจ๊ะ

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Majestic-12 [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน
cron