ครัวไกลบ้านได้ทำการปรังปรุงเวบไซต์ให้ใช้งานได้ง่ายขึ้นในระบบสมาร์ทโฟน และได้รวมข้อมูลเมนูอาหารและ สมาชิกจากทั้งเวบไซต์เก่าและใหม่เสร็จเรียบร้อยแล้ว

สมาชิกท่านไหนมีปัญหาไม่สามารถล็อกอินได้ ให้ทำการเปลี่ยนพาสเวิร์ดโดยคลิ๊กลิ้งค์นี้ ลืมรหัสผ่าน
ถ้าท่านใดมีชื่อสมาชิกมากกว่าหนึ่งชื่อแล้วต้องการรวมโพสทั้งหมดให้อยู่ในชื่อสมาชิกเดียว หรือมีปัญหาในการใช้เวบไซต์
สามารถส่งอีเมล์แจ้งรายละเอียดมาได้ที่ admin@kruaklaibaan.com หรือส่งข้อความได้ที่ user: sillyfooks

ถ้าชอบครัวไกลบ้าน อย่าลืมคลิ๊กไลค์เฟสบุ๊คให้ครัวไกลบ้านด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ

MESSAGE IN A BOTTLE

อยากคุย อยากเล่า อยากบ่น เรื่องสุข เรื่องทุกข์ เรื่องสารพันปัญหา เชิญคุยกันได้ตามสบายที่ห้องนี้ค่ะ

โพสต์โดย แมงป่อง » ศุกร์ มิ.ย. 20, 2008 12:53 pm

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'><span style='color:red'>บทที่ 4</span>

<span style='color:purple'>ในวันที่เธอค้นพบจดหมายฉบับที่สามนั้น แน่นอนว่า
เธอไม่คิดว่ามีสิ่งใดผิดแปลก มันเป็นเพียงเรื่องธรรมดาๆ ของวัน
หนึ่งในช่วงกลางฤดูร้อนที่มีอากาศร้อนชื้นในบอสตัน ข่าวบางข่าว
เกิดตามมาเป็นปกติพร้อมกับสภาพอากาศแบบนี้ เช่น การปะทะ
คารมกันสองสามราย นําไปสู่ความโกรธอันรุนแรงขึ้นจนเป็นเรื่อง
เป็นราวกัน และช่วงบ่ายต้นๆ ปรากฏเหตุฆาตกรรมเกิดขึ้น 2
ราย จากคนซึ่งเพิ่งมีเรื่องมีราวกันจนกลายเป็นเหตุบานปลาย
เธเรซ่ากําลังค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับเด็กออทิสติกจากคอมพิว
เตอร์อยู่ห้องเขียนข่าว หนังสือพิมพ์บอสตันไทมส์มีฐานข้อมูล
อันยอดเยี่ยมเกี่ยวกับบทความในเรื่องดังกล่าวที่ตีพิมพ์ไว้ในหลาก
หลายนิตยสารเมื่อหลายปีก่อน เธออาจเข้าไปดูข้อมูลจากห้อง
สมุดที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดหรือมหาวิทยาลัยบอสตันได้ด้วย
รวมทั้งค้นหาบทความที่ตรงกับเรื่องดังกล่าวนับแสนเรื่องที่นํามา
ใช้ได้ โดยผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ของเธอ ทําให้การสืบค้นข้อมูล
ต่างๆ ทําได้อย่างง่ายดายและเสียเวลาน้อยลงกว่าที่เคยเป็นมา
เมื่อสองสามปีก่อนมาก
เพียงเวลาไม่กี่ชั่วโมง เธอค้นหาบทความที่เขียนไว้เมื่อ 3
ปีก่อนได้เกือบ 30 บทความ ซึ่งตีพิมพ์ลงในวารสารวิชาการที่เธอ
ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน และมีบทความ 6 เรื่องที่ดูน่าสนใจพอที่
จะนํามาใช้ประโยชนืได้ เนื่องจากเธอจะต้องขับรถผ่านมหาวิทยา
ลัยฮาร์วาร์ดจามเส้นทางกลับบ้านอยู่แล้ว เธอจึงตัดสินใจไปรวบ
รวมข้อมูลที่นั่นในภายหลัง
ขณะที่เธอเกือบจะปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ ทันใดนั้นความ
คิดหนึ่งก็แวบเข้าในใจ และทําให้เธอต้องยุติการปิดเครื่อง
ทําไมไม่ลองดูล่ะ? เธอถามตัวเอง มันเป็นเรื่องที่น่าลอง แล้วฉัน
ก็ไม่มีอะไรต้องเสียด้วย? เธอนั่งลงที่โต๊ะทํางานแล้วเข้าไปดูฐาน
ข้อมูลจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดอีกครั้ง แล้วพิมพ์ข้อความเพื่อ
ค้นหาข้อมูลว่า สาส์นในขวด
เนื่องจากการค้นหาบทความต่างๆ ในระบบห้องสมุดดัง
กล่าวเรียกดัชนีตัวอักษรไว้ตามชื่อเรียงหรือชื่อบทความ เธอจึง
เลือกสแกนดูจากชื่อบทความเพื่อให้การค้นหาเร็วขึ้น โดยปกติ
แล้วการค้นหาด้วยชื่อเรื่องจะทําให้ได้ข้อมูลจากบทความต่างๆ
มากขึ้น แต่การเลือกตัดข้อมูลที่ไม่ต้องการทิ้งไปบ้างเป็นขั้นตอน
ที่เหนื่อยยาก และในขณะนี้เธอไม่มีเวลาพอที่จะทําเช่นนั้น
หลังจากกด Enter แล้ว เธอก็เอนหลังรอให้เครื่องคอมพิวเตอร์
ค้นหาข้อมูลที่เธอต้องการ
ข้อมูลตอบกลับที่ได้มาทําให้เธอประหลาดใจเนื่องจากมี
บทความมากมายแตกต่างกันเขียนถึงเรื่องดังกล่าวไว้เมื่อสองสาม
ปีก่อน บทความส่วนใหญ่เหล่านั้นตีพิมพ์ลงใยวารสารวิชาการ
ทางด้านวิทยาศาสตร์ และชื่อบทความเหมือนจะบอกเป็นนัยว่า
ขวดมากมายถูกนําไปใช้ในความพยายามอันหลากหลายเพื่อเรียน
รู้เรื่องเกี่ยวกับกระแสนํ้าในมหาสมุทร
แต่ดูเหมือนมีเพียง 3 บทความที่น่าสนใจ เธอจึงจดชื่อ
บทความนั้นไว้ โดยตั้งใจจะเก็บรวบรวมข้อมูลจากบทความเหล่า
นั้นด้วย
การจราจรติดขัดและเคลื่อนตัวได้ช้า ทําให้เธอต้องใช้เวลา
เดินทางไปห้องสมุด และถ่ายเอกสารบทความ 9 เรื่องที่เธอกําลัง
ค้นหาอยู่นานกว่าที่คิดไว้ เธอกลับถึงที่พักจนดึกดื่น หลังจาก
โทร.สั่งอาหารจากภัตตาคารจีนย่านนั้นแล้ว เธอจึงนั่งลงบนโซฟา
พร้อมกับบทความ 3 เรื่องเกี่ยวกับสาส์นในชวดตรงหน้าเธอ
บทความแรกที่เธอหยิบขึ้นมาอ่านเป็นบทความซึ่งตีพิมพ์
ลงในนิตยสารแยงกี้ เมื่อเดือนมีนาคมปีก่อน มีเรื่องเกี่ยวข้องกับ
ประวัติศาสตร์บางอย่างของสาส์นในขวด และเรื่องที่เล่าสืบต่อกัน
มาเกี่ยวกับขวดซึ่งถูกคลื่นซัดขึ้นฝั่งมาที่มลรัฐนิวอิงแลนด์ เมื่อ
สองสามปีที่ผ่านมาจดหมายฉบับนี้ถูกค้นพบเป็นเรื่องที่มีค่าควร
แก่การจดจําอย่างแท้จริง เธอสนุกกับการอ่านเรื่องราวของโพลิน่า
และเอค ไวกิ้ง เป็นพิเศษ
พ่อของโพลิน่าพบสาส์นซึ่งส่งมาจากเอค ทหารเรือหนุ่ม
ชาวสวีเดน ซึ่งเริ่มเกิดความเบื่อหน่ายมากขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างการ
เดินทางในทะเลครั้งหนึ่งในหลายครั้งของเขา และได้ขอร้องให้
หญิงงามซึ่งพบสาส์นนั้นเขียนจดหมายตอบกลับมาหาเขา พ่อ
ของโพลิน่าส่งสาส์นนั้นให้เธอ และเธอได้เขียนจดหมายถึงเอค
ฉบับหนึ่ง แล้วนําไปสู่อีกฉบับหนึ่ง ในที่สุดเมื่อเอคเดินทางไปยัง
เมืองซิซิลีเพื่อพบเธอ เขาและเธอได้ตระหนักว่ารักกันมากเพียง
ใด ทั้งสองแต่งงานกันหลังจากนั้นไม่นาน
ตอนใกล้จบบทความดังกล่าว เธอบังเอิญอ่านพบข้อความ
สองย่อหน้าซึ่งพูดถึงสาส์นอีกฉบับหนึ่ง ซึ่งถูกคลื่นซัดขึ้นมาพบบน
ชายหาดของเกาะลองไอส์แลนด์ โดยกล่าวไว้ว่า
โดยปกติแล้วจดหมายส่วนใหญ่ที่ส่งไปในขวดมักขอให้ผู้
พบตอบกลับโดยทันที ด้วยความหวังเพียงน้อยนิด ซึ่งอาจไม่ได้รับ
จดหมายตอบกลับมาเลยชั่วชีวิต อย่างไรก็ตาม บางคนผู้ส่งก็
ไม่ได้ต้องการให้ตอบกลับ มีจดหมายเช่นนั้นอยู่หนึ่งฉบับ ซึ่งมี
ข้อความอันลึกซึ้งกินใจ เชิดชูความรักที่พรัดพรากจากไป ได้รับ
การค้นพบเมื่อถูกคลื่อนซัดขึ้นมาเกยหาดบนเกาะลองไอส์แลนด์เมื่อ
ปีที่แล้ว ข้อความส่วนหนึ่งในจดหมายอ่านได้ดังนี้
''ผมรู้สึกว่างเปล่าในจิตวิญญาณ เมื่อปราศจากคุณอยู่ใน
อ้อมแขนของผม ผมรู้สึกว่าผมกําลังค้นหาดวงหน้าของคุณอยู่ใน
ฝูงชน แม้ผมรู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่ผมไม่อาจหักห้ามใจตัวเอง
ได้ การค้นหาคุณเป็นการแสวงหาอันไร้ที่สิ้นสุดของผมซึ่งต้องจบ
ลงด้วยความล้มเหลว คุณและผมเคยคุยกันถึงสิ่งที่อาจเกิดขึ้น
หากเราถูกผลักไสให้ต้องพรากจากกันด้วยสถานการณ์บังคับ แต่
ผมไม่อาจรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับคุณในคืนนั้นได้ ที่รัก ผมขอโทษ
แต่จะไม่มีใครที่ไหนอื่นมาแทนที่คุณได้เป็นอันขาด ถ้อยคําที่ผม
แผ่วกระซิบกับคุณไว้ในคืนนั้นช่างแสนโง่ และผมควรรู้ในขณะนี้
ได้แล้วว่า คุณ และคุณเพียงคนเดียว เป็นหนึ่งเดียวที่ผม
ปราถนาตลอดมาและด้วยเหตุที่คุณจากไปแล้ว ผมจึงไร้ซึ่ง</span></span>
ภาพประจำตัวสมาชิก
แมงป่อง
แม่ไข่หวาน พ่อไข่เค็ม
 
โพสต์: 1468
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ พ.ค. 05, 2007 10:25 pm

โพสต์โดย แมงป่อง » เสาร์ มิ.ย. 21, 2008 9:42 am

<span style='color:green'><span style='font-size:14pt;line-height:100%'>ความปราถนาใดๆ ที่จะหาใครอื่นมาแทนที่คุณ เราได้เอ่ยกระซิบ
กันในโบสถ์ไว้ว่า เราจะรักกันตราบจนความตายมาพราก และ
ผมเชื่อในบัดนี้แล้วว่า ถ้อยคําดังกล่าวจะสะท้อนให้เห็นความจริง
ตราบจนถึงวันที่ผมถูกพรากไปจากโลกไปด้วยเช่นกันในที่สุด''
เธอหยุดกิน แล้ววางส้อมลงทันที
มันเป็นไปได้อย่างไร! เธอรู้สึกว่าเธอกําลังจ้อมมองไปที่
ถ้อยคําเหล่านั้น
มันเป็นไปไม่ได้แน่ๆ...
แต่...
แต่...มันจะเป็นใครอื่นไปไม่ได้อีกแล้ว?
เธอยกมือขึ้นลูบคิ้ว และรู้สึกในทันทีใดนั้นเองว่ามือเธอกําลัง
สั่น จดหมายอีกฉบับอย่างนั้นหรือ? เธอพลิกบทความกลับไป
หน้าแรกแล้วมองหาชื่อผู้เขียน บทความนั้นเขียนโดยด๊อกเตอร์
อาร์เธอร์ เชนดากิ้น ศาสตราจารย์สอนวิชาประวัติศาสตร์ที่มหา
วิทยาลัยบอสตัน ซึ่งนั่นหมายความว่า...
เขาต้องอยู่ในพื้นที่แถบนั้น
เธอกระโจนขึ้นจากโซฟาแล้วไปหยิบสมุดโทรศัพท์บนชั้น
วางของใกล้โต๊ะในห้องรับประทานอาหารมา เธอพลิกหน้าค้นหา
ชื่ออย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าจะมีเพียง 2 ชื่อเท่านั้นที่มีแนวโน้มว่า
จะเป็นไปได้ แต่ก็มีชื่อเชนดากิ้นอยู่ในบัญชีรายชื่อไม่ถึง 12 คน
ทั้งสองชื่อตามรายการใช้ ''อ'' เป็นชื่อตัวแรก เธอตรวจ
ดูเวลาจากนาฬิกาข้อมือจากโทรศัพท์ 3 ทุ่มครึ่ง ดึกแล้วก็จริง แต่
ไม่ดึกมากจนเกินไป เธอกดหมายเลขในสมุดโทรศัพท์ สายแรก
เป็นผู้หญิงรับ ตอบกลับมาว่าตอบผิด และเมื่อวางโทรศัพท์ลง เธอ
รู้สึกลําคอแห้งผาก จึงเข้าไปในครัวแล้วเติมนํ้าใส่แก้วจนเต็ม หลัง
จากดื่มนํ้าไปแก้วใหญ่ เธอก็สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วกลับไปที่โทร-
ศัพท์
เธอกดหมายเลขโทรศัพท์ที่มั่นใจว่าถูกต้องแล้วถือสายรอ
ในขณะที่โทรศัพท์ที่มั่นใจว่าถูกต้องแล้วถือสายรอ
ในขณะที่โทรศัพท์เริ่มมีสัญญาณเรียกปลายทาง
หนึ่งครั้ง
สองครั้ง
สามครั้ง
เมื่อสัญญาณดังขึ้นเป็นครั้งที่สี่เธอเริ่มหมดหวัง แต่เมื่อ
สัญญาณดังขึ้นเป็นครั้งที่ห้า เธอได้ยินเสียงยกหูโทรศัพท์จาก
ปลายทาง
''สวัสดีครับ'' ชายคนหน่งพูด ฟังจากนํ้าเสียงเขาแล้ว เธอ
คิดว่าเขาต้องมีอายุอยู่ในช่วง 60 ปี
เธอกระแอม
''สวัสดีค่ะ นี่เธเรซ่า ออสบอร์น จากหนังสือพิมพ์ บอสตัน
ไทมส์ คุณอาร์เธอร์ เชนดากิ้นใช่มั้ยคะ?''
''ใช่ครับ'' เขาตอบด้วยนํ้าเสียงฟังดูแปลกใจ
เย็นไว้ๆ เธอบอกตัวเอง
''โอ้ สวัสดีค่ะ ฉันเพียงแค่โทร.มาเพราะอยากทราบว่าคุณ
คือคนเดียวกับคุณอาร์เธอร์ เชนดากิ้น ที่เขียนบทความเกี่ยวกับ
สาส์นในขวดซึ่งตีพิมพ์ลงในนิตยสารแยงกี้ เมื่อปีที่แล้วหรือเปล่า
เท่านั้นเองค่ะ''
''ใช่ ผมเป็นคนเขียนบทความนั้นเอง มีอะไรให้ผมช่วย
มั้ยครับ?''
เธอรู้สึกว่ามีเหงื่อจากมือที่ถือหูโทรศัพท์
''ฉันอยากรู้เรื่องจดหมายหลายฉบับที่คุณพูดถึงว่าถูกคลื่น
ซัดขึ้นเกาะลองไอส์แลนด์ คุณจําได้มั้ยคะว่าฉันกําลังพูดถึง
จดหมายฉบับไหน?''
''ผมขอถามหน่อยได้มั้ยว่าทําไมคุณถึงสนใจเรื่องนี้''
''โอ้'' เธอเริ่มต้น ''หนังสือพิมพ์บอสตันไทมส์ คิดจะทําบท
เกี่ยวกับเรื่องเดียวกันนี้อยู่พอดีค่ะ และเราสนใจที่ได้สําเนา
จดหมายฉบับนั้น''
เธอทําสีหน้ารังเกียจในคําโป้ปดของเธอ แต่ดูเหมือนว่า
การบอกความจริงจะยิ่งทําให้เรื่องเลวร้ายลง ถ้าเธอพูดไปเช่นนั้น
มันจะฟังดูเป็นอย่างไรกันนะ?
''โอ้ สวัสดีค่ะ ดิฉันหลงเสน่ห์ชายลึกลับคนหนึ่งซึ่งส่งจด
หมายมาในขวด และฉันสงสัยว่าเขาเป็นผู้เขียนจดหมายฉบับที่
คุณพบหรือเปล่าคะ...''
เขาตอบช้าๆ ''เอาละ ผมก็ไม่รู้ จดหมายฉบับนั้นดลใจ
ผมให้เขียนบทความดังกล่าวขึ้นมา...ผมต้องคิดก่อน''
เธเรซ่าคอแข็งแกร็งขึ้นมาทันที ''งั้นคุณก็มีจดหมายฉบับ
นั้นอยู่ใช่มั้ยคะ?''
''ใช่ ผมพบมันเมื่อ 2 ปีก่อน''
''คุณเชนดากิ้นคะ ฉันรู้ว่านี่เป็นคําขอที่ไม่ธรรมดา แต่ฉัน
บอกคุณได้ว่า ถ้าคุณยอมให้เราใช้จดหมายฉบับนั้น เรายินดีจ่าย
ค่าตอบแทนจํานวนเล็กน้อยให้คุณ อีกอย่าง เราก็ไม่ได้ต้องการ
จดหมายตัวจริง แค่สําเนาหนึ่งฉบับก็ใช้ได้แล้วค่ะ ดังนั้น คุณจึง
ไม่ต้องเสียอะไรไปเลย''
เธอมั่นใจว่าคําขอนี้ต้องทําให้เขาประหลาดใจ
''เรากําลังคุยกันถึงเงินจํานวนเท่าไหร่?''
ฉันไม่รู้ ฉันกุเรื่องทั้งหมดนี้ขึ้นมาอย่างเร่งรีบ ''คุณต้อง
การเท่าไหร่คะ?''
''เรายินดีเสนอให้คุณ 300 ดอลลาร์ และแน่นอนว่า คุณ
จะได้รับชื่อเสียงกล่าวถึงไว้ตามสมควรในฐานะคนที่พบมันด้วย''
เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่งเพื่อไตร่ตรอง เธเรซ่าพูดแทรกกลับ
ไปก่อนที่เขาจะทันได้คิดถึงการปฏิเสธ
''คุณเชนดากิ้นคะ ฉันแน่ใจว่ามีส่วนที่คุณกังวลอยู่ในเรื่อง
ความคล้ายกันระหว่างบทความของคุณกับสิ่งที่หนังสือพิมพ์ตั้งใจ
จะตีพิมพ์ ฉันรับรองว่ามันจะแตกต่างกันมากค่ะ บทความที่เรา
กําลังทําส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับกระแสนํ้าในมหาสมุทร และทุก
อย่างเกี่ยวกับเรื่องเหล่านั้น เราเพียงแค่ต้องการจดหมายจริงบาง
ฉบับที่จะให้ความรู้สึกบางอย่างในลักษณะที่เป็นความห่วงใยของ
มนุษย์แก่ผู้อ่านของเราค่ะ''
ไปเอาเรื่องนั้นมาจากไหนกันนี่?
''เอ้อ...''
''ได้โปรดเถอะค่ะ คุณเชนด้ากิ้น มันมีความหมายกับฉัน
มากจริงๆ''
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง
''แค่สําเนาหรือ?''
ใช่!
''ใช่ค่ะ แน่นอนเลย ฉันจะให้หมายเลขแฟ็กซ์กับคุณ หรือ
คุณอาจส่งมาให้ก็ได้ ให้ฉันเขียนเช็คสั่งจ่ายในนามคุณรึเปล่าคะ?''
เขาหยุดพูดไปอีกครั้งก่อนที่จะตอบว่า
''ผม...ผมก็คิดว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น'' เสียงเขาฟังดูราวกับ
ว่าเขาถูกใช้กลยุทธ์ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งต้อนจนมุม และไม่รู้จะหาทาง
ออกมาได้อย่างไร
''ขอบคุณค่ะ คุณเชนดากิ้น'' เธเรซ่าบอกหมายเลขแฟ๊กซ์ให้
เขาทราบก่อนที่เขาจะเปลี่ยนใจ เธอจดที่อยู่ของเขาไว้ แล้วเตือน
ตัวเองให้ไปซื้อธนาณัติในวันถัดไป เธอคิดว่ามันอาจดูน่าสงสัย
หากส่งเช็คส่วนตัวไปให้
วันต่อมาหลังจากที่เธอโทรศัพท์ไปที่สํานักงานของศาสตรา
จารย์คนนั้นที่มหาวิทยาลัยบอสตันเพื่อฝากข้อความถึงเขาว่าได้
ส่งเงินที่ต้องชําระไปให้แล้ว เธอจึงไปทํางานด้วยหัวอันหมุนติ้ว
ความเป็นไปได้ของจดหมายฉบับที่สามทําให้ยากที่จะคิดถึงสิ่งอื่น
จริงๆ แล้วยังไม่มีหลักประกันใดๆ เลยว่าจดหมายดังกล่าวจะเขียน
มาจากคนคนเดียวกัน แต่ถ้าใช่ เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอควรจะ
ทําอะไรต่อไป เธอคิดถึงแกเร็ตเกือบตลอดทั้งคืน ด้วยการพยา
ยามวาดภาพว่าเขามีรูปร่างลักษณะอย่างไร และจินตนาการถึงสิ่ง
ที่เขาชอบทํา เธอไม่เขาใจทีเดียวนักกับสิ่งที่เธอรู้สึก แต่สุดท้าย
เธอก็ตัดสินใจปล่อยให้จดหมายฉบับนั้นเป็นผู้ตัดสินสิ่งต่างๆ ใน
ที่สุด ถ้ามันไม่ใช่จดหมายที่เขียนมาจากแกเร็ต เธอจะจบเรื่อง
ทั้งหมดนี้ลงทันที เธอจะไม่ใช้คอมพิวเตอร์ค้นหาเขาอีกต่อไป
และจะไม่หาพยานหลักฐานจากจดหมายฉบับอื่นใดอีก แล้วถ้า
เธอรู้สึกว่าตัวเธอยังถูกสิงสู่อยู่ด้วยเรื่องดังกล่าวนั้น เธอก็จะโยน
จดหมาย 2 ฉบับที่มีอยู่ทิ้งไป
ความสงสัยใคร่รู้เป็นสิ่งที่ดี ตราบใดที่มันไม่ได้มาครอบงํา
ชีวิตคุณ และเธอจะไม่ยอมให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นกับเธอ
แต่ในทางตรงข้าม ถ้าจดหมายนั้นมาจากแกเร็ตจริงๆ ล่ะ...
เมื่อถึงตอนนั้นแล้ว เธอก็ยังไม่รู้เลยว่าจะทําอย่างไร เธอหวัง
อยู่บ้างว่า มันจะไม่เป็นอย่างที่เธอคิดไว้ตอนแรก เพื่อจะได้ไม่ต้อง
ทําตามเรื่องที่เธอตัดสินใจไปแล้วนั้น
เมื่อมาถึงโต๊ะทํางาน เธอตั้งใจรอจดหมายตั้งแต่ก่อนที่จะ
เดินไปยังเตรื่องแฟ๊กซ์ เธอเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ แล้วโทรศัพทื
หาแพทย์สองคนซึ่งเธอจําเป็นต้องพูดคุยด้วยเกี่ยวกับบทความที่
เธอเขียน และจดบันทึกคร่าวๆ ไว้สองสามรายการเกี่ยวกับเรื่อง
อื่นๆ ที่อาจทําได้
เมื่อเธอเสร็จงานอันยุ่งเหยิงแล้ว เธอบอกกับตัวเองจนแทบ
มั่นใจว่าจดหมายฉบับนั้นไม่ได้เขียนมาจากเขา เธอบอกตัวเองว่า
บางที่อาจมีจดหมายนับพันฉบับลอยไปทั่วมหาสมุทร มีโอกาส
เป็นไปได้มากกว่าที่มันจะเป็นจดหมายของคนอื่น
ในที่สุดเอก็เดินไปยังเครื่องแฟ๊กซ์ เมื่อคิดไม่ออกว่าจะทํา
อะไรอย่างอื่นอีก เธอเริ่มตรวจดูกองเอกสารที่มาจากเครื่องแฟ๊กซ์
มันยังไม่ได้จัดให้เป็นหมวดหมู่ และมีอยู่ประมาณยี่สิบสามสิบ
แผ่นส่งมาถึงหลากหลายผู้คน ช่วงกลางของกองเอกสาร เธอพบ
จดหมายนําถึงตัวเธอ พร้อมกับเอกสารแนบมาด้วยอีก 2 แผ่น
และเมื่อมองดูเอกสารนั้นอย่างละเอียดขึ้น สิ่งแรกที่สังเกตเห็นคือ
ถาพลายเรือใบที่มุมขวาด้านบนเหมือนจดหมายอื่นอีกสองฉบับที่
เธอมี แต่จดหมายฉบับนั้นมีข้อความสั้นกว่าจดหมายฉบับอื่น
และเธออ่านจบลงก่อนที่จะเดินกลับมาถึงที่โต๊ะทํางาน ย่อหน้า</span></span>
ภาพประจำตัวสมาชิก
แมงป่อง
แม่ไข่หวาน พ่อไข่เค็ม
 
โพสต์: 1468
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ พ.ค. 05, 2007 10:25 pm

โพสต์โดย แมงป่อง » เสาร์ มิ.ย. 21, 2008 6:11 pm

<span style='color:red'><span style='font-size:14pt;line-height:100%'>สุดท้ายคือข้อความตอนหนึ่งที่เธอเห็นในบทความของอาร์เธอร์
เชนดากิ้น

25 กันยายน 1995
แคธรีนที่รัก
หนึ่งเดือนผ่านไปแล้วตั้งแต่ผมเขียนจดหมายถึงคุณ แต่ดู
เหมือนเวลายิ่งผ่านไปอย่างเชื่องช้า ชีวิตที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้
เหมือนภาพทิวทัศน์ที่มองออกไปจากหน้าต่างรถยนต์ ผมหายใจ
กิน และนอน เช่นเดียวกับที่ผมปฏิบัติเสมอมา แต่ดูเหมือนจะ
ไม่มีจุดมุ่งหมายอันยิ่งใหญ่ในชีวิตซึ่งส่วนตัวผมอยากเข้าไปมีส่วน
ร่วมอย่างกระตือรือร้นเลย ผมเพียงแค่ล่องลอยไปตามเรื่องตาม
ราว เหมือนจดหมายที่ผมเขียนถึงคุณ ผมไม่รู้ว่าผมกําลังจะไป
ไหน หรือเมื่อไหร่ผมจึงจะไปถึงที่นั่น
แม้แต่การทํางานหนักก็ไม่อาจปลดเปลื้องความเจ็บปวด
ออกไปจากใจได้เลย ผมอาจดํานํ้าเพื่อความสนุกสนานของผม
เองหรือแสดงวิธีดํานํ้าเช่นนั้นให้คนอื่นดู แต่เมื่อผมกลับมาถึงร้าน
มันดูว่างเปล่าเมื่อปราศจากคุณ ผมจัดเก็บสินค้าและสั่งของเช่น
เดียวกับที่ผมทํามาตลอด แต่แม้กระทั่งเดี๋ยวนี้ บางครั้งผมก็ยัง
หันไปชําเลืองดูคุณอย่างไร้เหตุผลและรํ่าร้องหาคุณ ในขณะที่ผม
เขียนจดหมายฉบับนี้ถึงคุณ ผมสงสัยว่า เมื่อไหร่ และเป็นไปได้
หรือไม่ ที่สิ่งต่างๆ เช่นนั้นจะยุติลงเสียที
''ผมรู้สึกว่างเปล่าในจิตวิญญาณ เมื่อปราศจากคุณอยู่ใน
อ้อมแขนของผม ผมรู้สึกว่าผมกําลังค้นหาดวงหน้าของคุณอยู่ใน
ฝูงชน แม้ผมจะรู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่ผมไม่อาจห้ามใจตัวเอง
ได้ การค้นหาคุณเป็นการแสวงหาอันไร้ที่สิ้นสุดของผมซึ่งต้องจบ
ลงด้วยความล้มเหลว คุณและผมเคยคุยกันถึงสิ่งที่อาจเกิดขึ้น
หากเราถูกผลักไสให้ต้องพรากจากกันด้วยสถานการณ์บังคับ แต่
ผมไม่อาจรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับคุณในคืนนั้นได้ ที่รัก ผมขอโทษ
แต่จะไม่มีใครที่ไหนอื่นมาแทนที่คุณได้เป็นอันขาด ถ้อยคําที่ผม
แผ่วกระซิบกับคุณไว้ในคืนนั้นช่างแสนโง่ และผมควรรู้ในขณะนี้
ได้แล้วว่า คุณ และคุณเพียงคนเดียว เป็นหนึ่งเดียวเท่านั้นที่ผม
ปราถนาตลอดมา และด้วยเหตุที่คุณได้จากไปแล้ว ผมจึงไร้ซึ่ง
ความปราถนาใดๆ ที่จะหาใครอื่นมาแทนที่คุณ เราได้เอ่ยกระซิบ
กันมนโบสถ์ไว้ว่า เราจะรักกันตราบจนความตายมาพราก และ
ผมเชื่อในบัดนี้แล้วว่า ถ้อยคําดังกล่าวจะสะท้อนให้เห็นความจริง
ตราบจนถึงวันที่ผมถูกพรากไปจากโลกนี้ไปด้วยเช่นกันในที่สุด''

แกเร็ต

''เดียนน่า เธอมีเวลาสักครู่มั้ย? ฉันมีเรื่องจําเป็นต้องคุย
กับเธอ''
เดียนน่าเงยหน้าขึ้นมาจากเครื่องคอมพิวเตอร์ของเธอแล้ว
ถอดแว่นตาอ่านหนังสือออก ''ได้สิ ฉันคุยได้ เกิดอะไรขึ้น?''
เธเรซ่าวางจดหมายทั้ง 3 แบบลงบนโต๊ะทํางานของเดียน
น่าโดยไม่พูดอะไร เดียนน่าหยิบจดหมายเหล่านั้นขึ้นมาทีละฉบับ
เธอเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ
''เธอไปได้จดหมายฉบับอื่นอีกสองฉบับนี่มาจากไหน?''
เธเรซ่าอธิบายว่าบังเอิญได้มาอย่างไร เมื่อเธอเล่าเรื่องจบ
เดียนน่าอ่านจดหมายไปเงียบๆ โดยเธเรซ่านั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงข้าม
''เอาละ'' เธอพูด แล้ววางจดหมายฉบับสุดท้ายลง ''เธอ
เก็บซ่อนเรื่องนี้ไว้เป็นความลับอย่างแน่นอนใช่มั้ย?''
เธเรซ่ายักไหล่ เดียนน่าจึงพูดต่อไป ''แต่มันมีอะไรบาง
อย่างมากกว่าเพียงแค่การพบจดหมายเหล่านี้ใช่มั้ย?''
''เธอหมายความว่ายังไง?''
''ฉันหมายความว่า'' เดียนน่าพูดพร้อมกับยิ้มอย่างรู้ทัน
''เธอไม่ได้มาหาฉันที่นี่เพราะว่าเธอพบจดหมายนั้นหรอก เธอมา
เพราะว่าเธอสนใจในตัวนายแกเร็ตคนนี้ต่างหาก''
เธเรซ่าอ้าปากค้างจนทําให้เดียนน่าต้องหัวเราะออกมา
''อย่ามองฉันอย่างประหลาดใจอย่างงั้นเลยเธเรซ่า ฉันไม่
ใช่คนโง่บริสุทธิ์นะ ฉันรู้ดีว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับเธอในช่วงสอง
สามวันที่ผ่านมา เธอมาอยู่แถวนี้อย่างใจลอยเหลือเกิน เหมือน
กับว่าเธออยู่ไกลออกไปนับร้อยไมล์ ฉันกําลังจะถามอยู่เหมือนกัน
แต่คิดว่าเธอคงมาคุยกับฉันเองเมื่อเธอพร้อม''
''ฉันคิดว่าฉันควบคุมตัวเองได้ดีแล้วนะ''
''บางทีอาจใช้ได้กับคนอื่น แต่ฉันรู้จักเธอมานานพอที่จะรู้
ว่า เมื่อไหร่ที่มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับเธอ'' เธอยิ้มอีกครั้ง ''งั้น
ก็บอกฉันมาเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น?''
เธเรซ่าคิดอยู่ครู่หนึ่ง
''มันแปลกจริงๆ ฉันหมายความว่าฉันไม่อาจหยุดคิดถึง
เขาได้ แล้วฉันก็ไม่รูว่าทําไม มันเหมือนกับฉันกลับไปอยู่
โรงเรียนมัธยมอีกครั้ง แล้วไปคลั่งไคล้คนบางคนที่ฉันไม่เคยพบ
เลย เพียงแต่เรื่องนี้มันแย่ยิ่งกว่า เพราะไม่ใช่เพียงแค่เราไม่เคย
พูดคุยกันเท่านั้น แต่ฉันไม่เคยแม้แต่จะเห็นหน้าเขาด้วยซํ้า ทั้ง
หมดเท่าที่ฉันรู้คือ เขาอาจเป็นชายแก่อายุ 70 ปีก้ได้''
เดียนน่าเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ และผงกศรีษะรับฟังอย่าง
ไตร่ตรอง ''นั่นคือความจริง...แต่เธอไม่ได้คิดว่ามันเป็นกรณีที่พูด
ถึงหรือเธอคิดว่าใช่?''
เธเรซ่าสั่นศรีษะช้าๆ ''ไม่ ไม่เลยจริงๆ''
''ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน'' เดียนน่าพูดในขณะที่หยิบ
จดหมายทั้งหมดขึ้นมาอีกครั้ง ''เขาพูดถึงเรื่องที่เขาและเธอตก
หลุมรักกันเมื่อเป็นหนุ่มสาว เขาไม่ได้พูดถึงลูกเลย เขาสอน
ดํานํ้า และเขียนถึงเรื่องราวของแคธรีน เหมือนกับว่าเขาเพิ่งแต่ง
งานกันเมื่อสองสามปีก่อน ฉันสงสัยว่าเขาจะแก่ขนาดนั้นเลย
เหรอ?''
''นั่นคือสิ่งที่ฉันคิดอยู่เหมือนกัน''
''เธออยากรู้มั้ยว่าฉันคิดอะไรอยู่''
''แน่นอนที่สุด''
เดียนน่าพูดโดยใช้ถ้อยคําอย่างระมัดระวัง ''ฉันคิดว่าเธอ
ควรไปวิลมิงตัน เพื่อพยายามตามหาแกเร็ตให้พบ''
''แต่มันดูตลกจัง ตลกมากๆ ด้วย แม้แต่กับตัวเอง''
''ทําไมล่ะ?''
''ก็เพราะว่าฉันไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับตัวเขาเลยน่ะสิ''
''เธเรซ่า เธอรู้เรื่องเกี่ยวกับแกเร็ตมากกว่าที่ฉันรู้เรื่องไบรอัน
ก่อนที่ฉันจะได้พบเขามากมายนัก แล้วอีกอย่าง ฉันไม่ได้บอกให้
เธอแต่งงานกับเขานะ ฉันแค่บอกให้เธอไปหาเขาให้เจอ เธออาจ
ค้นพบว่าเธอไม่ได้ชอบเขาเลยก็ได้ แต่อย่างน้อยที่สุดเธอก็จะได้รู้
ไม่ใช่หรือ? ฉันหมายความว่า มันมีอะไรที่จะทําให้ต้องเจ็บปวด?''
''จะเกิดอะไรขึ้นถ้า...'' เธอหยุดพูด เดียนน่าจึงกล่าวประ
โยคนั้นต่อจนจบ
''จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาไม่เป็นแบบที่เธอวาดหวังไว้?
เธเรซ่า ฉันรับประกันได้เลยว่าเขาจะไม่เป็นเหมือนภาพที่เธอกําลัง
จิตนาการไว้อยู่แล้ว ไม่เคยมีใครเป็นอย่างนี้ได้หรอก แต่ใจฉัน
ว่า นั่นไม่ควรมีผลทําให้การตัดสินใจของเธอต้องเปลี่ยนไปนะ ถ้า
เธอคิดว่าเธอต้องการค้นพบมากขึ้น ก็ไปสิ สิ่งเลวร้ายที่สุดที่อาจ
เกิดขึ้นได้ก็คือ เธอพบว่าเขาไม่ใช่ผู้ชายแบบที่เธอกําลังมองหา
แล้วถ้าเป็นอย่างนั้น เธอจะต้องทําอะไรต่อ? เธอก็แค่กลับบอสตัน
น่ะสิ แต่เธอจะกลับมาพร้อมกับคําตอบของเธอ นั่นจะเป็นเรื่อง
เลวร้ายแค่ไหนเหรอ? บางทีมันอาจเลวร้ายน้อยกว่าสิ่งที่เธอกําลัง
ประสบอยู่ตอนนี้ก็ได้''
''เธอไม่คิดว่าเรื่องทั้งหมดนี่มันบ้ารึไง?''
เดียนน่าสั่นศรีษะอย่างครุ่นคิด ''เธเรซ่า ฉันอยากให้เธอ
เริ่มมองหาชายอื่นมานานแล้ว ก็เหมือนกับที่ฉันบอกกับเธอเมื่อ
เราไปเที่ยววันหยุดพักผ่อนด้วยกันนั่นแหละ เธอควรหาใครสักคน
มาร่วมแบ่งปันทุกข์สุขด้วย ตอนนี้ฉันก็ไม่รู้ว่าเรื่องทั้งหมดที่เกี่ยว
กับแกเร็ตจะออกมาในรูปไหน ถ้าให้ฉันพนัน ฉันขอบอกว่า บางที
มันอาจจะไม่ได้นําไปสู่สิ่งใดเลย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเธอไม่
ควรพยายาม หากทุกคนซึ่งคิดไว้ก่อนว่าพวกเขาอาจล้มเหลวและ
ไม่แม้แต่จะพยายามแล้ว เราจะไปถึงไหนกันได้ในวันนี้?''
เธเรซ่าเงียบไปครู่หนึ่ง ''เธอกําลังใช้เหตุผลมากเกินไปเกี่ยว
กับเรื่องทั้งหมดนี้...''
เดียนน่ายักไหล่ปฏิเสธคําค้านของเธอ
''ฉันแก่กว่าเธอนะ แล้วฉันก็ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก
ด้วย สิ่งหนึ่งในหลายๆ สิ่งที่ฉันได้เรียนรู้มาในชีวิตของฉันก็คือ
เธอต้องยอมเสี่ยงบ้างในบางครั้ง และสําหรับฉันแล้ว เรื่องทั้ง
หมดนี้ก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรขนาดนั้นเลย ฉันหมายความว่า เธอ
ไม่ได้กําลังทิ้งสามีและครอบครัวของเธอไปหาคนคนนี้ เธอไม่ได้
กําลังทิ้งงานของเธอแล้วย้ายไปอยู่รัฐอื่น เธออยู่ในสถานการณ์
ที่วิเศษจริงๆ ไม่มีผลเสียในด้านใดสําหรับเธอเลยที่จะไป ดังนั้น
จงอย่าทําให้มันเป็นเรื่องใหญ่โตเกินจริง ถ้าเธอรู้สึกว่าเธอควร
จะไป ก็ไป ถ้าเธอไม่อยากไป ก็ไม่ต้องไป มันง่ายอย่างนั้นเลย
จริงๆ อีกอย่างเควินก็ไม่อยู่ด้วย แล้วเธอก็มีวันลาพักผ่อนอยู่อีก
เหลือเฟือในปีนี้
เธเรซ่าเริ่มบิดปอยผม
''แล้วบทความของฉันล่ะ?''
''อย่ากังวลถึงมันเลย เรายังคงมีอีกหนึ่งบทความที่เธอ
เขียนไว้ซึ่งเรายังไม่ได้ใช้ เพราะว่าเราตีพิมพ์จดหมายฉบับนั้นไป
แทน ต่อจากนั้นเราก็อาจตีพิมพ์บทความจากหลายปีที่ผ่านมา
ซํ้ากันได้อีกสองสามครั้ง แล้วหนังสือพิมพ์ส่วนใหญ่ก็ยังไม่ได้
หยิบยกเอาบทความของเธอไปตีพิมพ์ ดังนั้น พวกเขาคงไม่รู้ถึง
ความแตกต่างหรอก''
''เธอทําให้เรื่องนี้ฟังดูง่ายจัง''
''มันง่ายอยู่แล้ว ส่วนที่ยากก็คือการไปหาเขาให้พบ แต่
ฉันคิดว่าจดหมายพวกนี้มีข้อมูลบางอย่างที่เราอาจนํามาใช้ช่วย
เธอได้ เธอจะว่ายังไงถ้าเราจะโทรศัพท์ไปสองสามแห่ง แล้วค้นหา
ข้อมูลอีกเล็กน้อยจากคอมพิวเตอร์?''
ทั้งสองเงียบกันไปพักใหญ่
''ตกลง'' เธเรซ่าพูดขึ้นมาในที่สุด ''แต่ฉันหวังว่า ฉันคงไม่
ลงเอยด้วยการต้องมานั่งเสียใจกับเรื่องนี้ทีหลังนะ''
''งั้น'' เธเรซ่าถามเดียนน่า ''เราเริ่มกันที่ไหนดีล่ะ?''
เธอลากเก้าอี้อ้อมมาอีกฟากหนึ่งของโต๊ะทํางานเดียนน่า
''ก่อนที่จะทําสิ่งอื่น'' เดียนน่าเริ่มต้น ''เรามาเริ่มต้นเรื่อง
ที่เราค่อนข้างมั่นใจกันก่อนดีกว่า ประการแรก ฉันคิดว่ามีเหตุผล
ที่จะเชื่อว่าชื่อของเข่คือแกเร็ตจริงๆ นั่นคือชื่อที่เขาเซ็นลงในจด
หมายทุกฉบับ และฉันไม่คิดว่าเขาจะวุ่นวายไปใช้ชื่อนอกเหนือ
ไปจากชื่อของเขาเอง เขาอาจทําเช่นนั้นถ้ามันเป็นจดหมายเพียง
หนึ่งฉบับ แต่ไม่ใช่กับจดหมาย 3 ฉบับ ฉันค่อนข้างมั่นใจว่า มัน
เป็นชื่อแรกของเขา หรือไม่ก็เป็นชื่อกลางของเขา มันเป็นชื่อที่ใช้
เรียกเขาได้ทั้งสองอย่าง''
''อีกอย่าง'' เธเรซ่าพูดเสริม ''บางทีเขาอาจอยู่ที่เมืองวิล
มิงตัน หรือหาดไรส์วิล หรือชุมชนอื่นในละแวกใกล้เคียง''
เดียนน่าผงกศรีษะ ''จดหมายทุกฉบับของเขาพูดถึงทะเล
หรือเนื้อหาที่เกี่ยวกับทะเล และแน่นอนว่า นั่นเป็นที่ซึ่งเขาโยน
ขวดลงไป อ่านจากถ้อยคําที่แสดงความรู้สึกออกมาในจดหมาย
ฟังดูคล้ายกับว่าเขาเขียนมันขึ้นมาในขณะที่เขารู้สึกเปลี่ยวเหงา
และกําลังคิดถึงแคธรีน''
''นั่นละที่ฉันคิด ดูเหมือนเขาจะไม่ได้พูดถึงเหตุการณ์
พิเศษใดๆ เลยใจดหมาย เนื้อหาในจดหมายพูดถึงชีวิตในแต่
ละวันของเขา และสิ่งที่เขากําลัวทนทุกข์อยู่''
''ใช่เลย เยี่ยม'' เดียนน่าพูดและผงกศรีษะ เธอเริ่มตื่นเต้น
ขึ้นในขณะที่พวกเธอพูดกันต่อไป ''มีการพูดถึงเรือลําหนึ่ง...''
''แฮปเปนสแตนซ์'' เธเรซ่าพูด
''ในจดหมายบอกว่า เขาและเธอซ่อมแซมเรือแล้วเคยล่อง
เรือไปด้วยกัน ดังนั้น บางทีมันอาจเป็นเรือใบ''
''จดเรื่องนั้นไว้ด้วย'' เดียนน่าพูด ''เราอาจหาข้อมูลเกี่ยว
กับเรื่องนั้นมากขึ้นได้ด้วยการโทรศัพท์ไปถามจากที่นี่สักสองสาม
แห่ง อาจมีที่ซึ่งเรือต่างๆ ต้องใช้ชื่อไปขึ้นทะเบียน''
''ฉันคิดว่าฉันอาจโทรศัพท์ไปถามหนังสือพิมพ์แถบนั้นให้
สืบค้นได้ มีเรื่องอื่นอีกไหม จดหมายฉบับที่สอง?''
''ฉันแน่ใจว่าไม่มีแล้ว แต่จดหมายฉบับที่สามมีข้อมูลเพิ่ม
ขึ้นมาอีกนิดหน่อย มีสองเรื่องที่เด่นชัดจากข้อความที่เขาเขียน''
เดียนน่าพูดแทรกขึ้นมา ''เรื่องที่หนึ่งคือ แคธรีนตายไป
แล้วจริงๆ''
''แล้วข้อความดูเหมือนว่าเขาจะเป็นเจ้าของร้านขายอุป
กรณ์ดํานํ้า อันเป็นที่ซึ่งเขาและแคธรีนเคยทํางาน''
''นั่นคืออีกเรื่องที่ต้องจดเอาไว้''
''ฉันคิดว่าเราอาจสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนั้นให้มากขึ้น
จากที่นี่ได้ด้วย มีเรื่องอื่นอีกมั้ย?''
''ฉันคิดว่าไม่มีแล้วนะ''
''ดีแล้ว เป็นการเริ่มที่ดี เรื่องนี้อาจง่ายกว่าที่เราคิดไว้ก้ได้
เรามาเริ่มโทรศัพท์ไปตามที่ต่างๆ กันดีกว่า''
ทีแรกที่เดียนน่าโทรศัพท์ไปคือหนังสือพิมพ์ วิลมิงตัน เจอร์
นัล ซึ่งดูแลข่าวในเขตพื้นที่นั้น เธอแนะนําตัวเธอแล้วขอคุยกับ</span></span>
ภาพประจำตัวสมาชิก
แมงป่อง
แม่ไข่หวาน พ่อไข่เค็ม
 
โพสต์: 1468
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ พ.ค. 05, 2007 10:25 pm

โพสต์โดย แมงป่อง » อาทิตย์ มิ.ย. 22, 2008 10:16 am

<span style='color:purple'><span style='font-size:14pt;line-height:100%'>ใครบางคนซึ่งคลุกคลีอยู่กับเรื่องเรือ หลังจากโอนสายต่อไปสอง
ครั้ง เธอก็รู้ว่าเธอกําลังพูดอยู่กับแซ็ก นอร์ตัน ซึ่งดูแลเรื่องกีฬา
ตกปลาและกีฬาทางทะเลอื่นๆ หลังจากอธิบายว่าเธอต้องการรู้
ว่ามีสถานที่ซึ่งเก็บรวบรวมรายชื่อเรือที่ขึ้นทะเบียนไว้หรือไม่ เธอ
ก็ได้รับการบอกเล่าว่าไม่มี
''เรือขึ้นทะเบียนด้วยหมายเลขซึ่งระบุไว้ที่เรือ แทบจะ
เหมือนกับรถยนต์นั่นแหละครับ'' เขาพูดลากเสียงช้าๆ ''แต่ถ้า
คุณมีชื่อบุคคลซึ่งเป็นเจ้าของเรือ คุณอาจค้นพบชื่อเรือได้ ตาม
ที่ระบุไว้ในฟอร์ม ถ้ามีการลงบัญชีรายชื่อไว้ มันไม่ใช่ข้อมูล
ส่วนที่บังคับให้ใส่ไว้ แต่คนส่วนใหญ่ก็ใส่มันลงไปอยู่ดีนั่นแหละ
ครับ'' เดียนน่าจดคําว่า ''เรือไม่ได้ขึ้นทะเบียนด้วยชื่อ'' ลงไป
หวัดๆ ที่กระดาษบนแผ่นรองเขียนตรงหน้าเธอและยื่นให้เธเรซ่าดู
''นั่นคือทางตัน'' เธเรซ่าพูดค่อยๆ
เดียนน่าใช้มือปิดหูโทรศัพท์ไว้และกระซิบว่า ''อาจใช่ หรือ
อาจไม่ใช่ก็ได้ อย่ายอมแพ้เร็วเกินไปสิ''
หลังจากขอบคุณแซ็ก นอร์ตัน ในการสละเวลาของเขาและ
วางหูโทรศัพท์แล้ว เดียนน่ามองดูบัญชีรายการที่จะช่วยไขปริศนาโ
ดยละเอียดอีกครั้ง เธอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตัดสินใจโทรศัพท์
ไปขอข้อมูลหมายเลขโทรศัพท์ของร้านขายอุปกรณ์ดํานํ้าในพื้นที่
แถบเมืองวิลมิงตัน เธเรซ่าเฝ้าดูขณะที่เดียนน่าจดชื่อร้านและ
หมายเลขโทรศัพท์จํานวน 11 ร้านลงในบัญชีรายชื่อ ''มีอย่างอื่น
ให้ช่วยอีกมั้ยครับคุณนาย?'' พนักงานรับโทรศัพท์ถาม
''ไม่มีแล้วค่ะ คุณให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ได้มากเกินพอ
แล้ว ขอบคุณค่ะ''
เธอวางหูโทรศัพท์ลง ในขณะที่เธเรซ่าจ้องมองด้วยความ
กระหายใคร่รู้
''เธอจะถามพวกเขาว่าอะไร เมื่อเธอโทรศัพท์ไป?''
''ฉันจะถามแกเร็ต''
หัวใจของเธเรซ่าแทบหยุดเต้น ''เอางั้นเลยเหรอ?''
''เอาอย่างนั้นเลยละ'' เดียนน่าพูดและยิ้มในขณะที่เธอกด
โทรศัพท์ เธอโบกมือบอกเธเรซ่าให้ยกหูโทรศัพท์เครื่องพ่วงรอ
''เตรียมไว้เผื่อกรณีฉุกเฉินที่เขาเป็นคนพูดสายเอง'' แล้วเธอทั้ง
สองก็เฝ้ารออยู่เงียบๆ ให้ใครบางคนที่ร้านแอตแลนติกแอดเวน
เจอร์ส ซึ่งเป็นร้านแรกที่ได้ชื่อมาตอบรับสาย
ในที่สุด เมื่อเสียงยกหูโทรศัพท์ เดียนน่าสูดหายใจเข้า
ลึกๆ แล้วถามอย่างอารมณ์ดีว่า
''แกเร็ต ว่างสอนฉันเรียนดํานํ้าให้มั้ยคะ?''
''ขอโทษนะ ฉันคิดว่าคุณต่อเบอร์ผิด'' เสียงนั้นพูดรัวเร็ว
เดียนน่ากล่าวขอโทษแล้ววางหูโทรศัพท์
พวกเธอได้รับคําตอบเหมือนกันจากการโทรศัพท์ 5 ครั้งต่อ
มา เดียนน่าไล่ดูบัญชีลงมาที่ชื่อต่อไป และกดหมายเลขโทรศัพท์
อีกครั้งโดยไม่เลิกล้มความตั้งใจ ด้วยเหตุที่เธอคาดว่าจะได้รับคํา
ตอบเหมือนเดิม เธอจึงรู้สึกประหลาดใจเมื่อคนที่รับสายลังเลที่จะ
ตอบอยู่ครู่หนึ่ง
''คุณกําลังพูดถึงแกเร็ต เปล็กหรือเปล่าครับ?''
แกเร็ต
เธเรซ่าแทบตกลงมาจากเก้าอี้ เมื่อได้ยินเสียงที่พูดถึงชื่อเขา
เดียนน่าตอบว่าใช่ แล้วชายคนนั้นจึงตอบต่อไปว่า
''เขาทํางานที่ไอส์แลนด์ไดฟ์วิ่งครับ คุณแน่ใจเหรอ
ครับว่าเราไม่สามารถช่วยอะไรคุณได้? เรามีชั้นเรียนดํานํ้าบาง
ชั้นเรียนที่จะเริ่มเปิดสอนเร็วๆ นี้นะครับ''
เดียนน่ารีบแก้ตัวอย่างรวดเร็ว ''ไม่ค่ะ ฉันขอโทษด้วย
ฉันจําเป็นต้องเรียนกับแกเร็ตจริงๆ ฉันให้สัญญากับเขาไว้ค่ะ''
เมื่อเธอวางโทรศัพท์กลับไปยังแป้นวาง แล้วยิ้มกว้าง
''เป็นอันว่าเรากําลังเข้าไปใกล้ความจริงแล้วตอนนี้''
''ไม่อยากเชื่อเลยว่ามันจะง่ายขนาดน้น...''
''มันไม่ได้ง่ายอย่างนั้นหรอกเธเรซ่า ถ้าเธอไม่ได้คิดถึงมัน
ถ้าไม่มีใครคนหนึ่งพบจดหมายมากกว่าหนึ่งฉบับแล้ว เรื่องนี้ก็จะ
เกิดขึ้นไม่ได้เลย''
''เธอคิดว่าเขาคือแกเร็ตคนเดียวกับในจดหมายหรือเปล่า?''
เธเรซ่าเอียงศรีษะแล้วเลิกคิ้ว ''เธอไม่คิดว่าใช่เหรอ?''
''ฉันยังไม่รู้เลย บางทีอาจจะใช่ก็ได้''
เดียนน่ายักไหล่ปฎิเสธคําตอบของเธอ ''ดีละ เราจะได้รู้
กันอีกไม่นานนี้ เรื่องนี้กําลังเริ่มสนุกแล้ว''
จากนั้นเดียนน่าก็โทร.ไปถามข้อมูลอีกครั้ง และได้หมาย
เลขโทรศัพท์สําหรับติดต่อในเรื่องการขึ้นทะเบียนเรือของเมือง
วิลมิงตัน หลังจากกดหมายเลขโทรศัพท์แล้ว เธอบอกกับเสียง
ตอบสายว่าเธอคือใคร และถามหาใครคนที่สามารถช่วยยืนยัน
ข้อมูลบางอย่างกับเธอได้ ''ฉันและสามีเคยไปพักผ่อนวันหยุดกัน
ที่นั่นค่ะ'' เธอบอกกับผู้หญิงซึ่งรับโทรศัพท์ ''เมื่อเรือของเราเสีย
มีสุภาพบุรุษใจดีพบเข้าแล้วช่วยเรากลับขึ้นฝั่ง เขาชื่อแกเร็ต
เบล็ก และฉันคิดว่าเรือของเขามีชื่อว่า แฮปเปนสแตนซ์ แต่ฉัน
ต้องการได้คําตอบที่แน่ใจ เมื่อฉันเขียนถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นค่ะ''
เดียนน่าพูดต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่ยอมเปิดโอกาสให้ผู้หญิง
คนนั้นพูดเลยแม้แต่คําเดียว เธอบอกว่าต้องพบกับความหวาด
กลัวมากเพียงใด และมันมีความหมายแค่ไหนเมื่อแกเร็ตเข้ามา
ช่วยชีวิตเธอกับสามีไว้ได้โดยบังเอิญ ต่อจากนั้น หลังจากการ
ยกยอปอปั้นกับผู้หญิงผู้นั้นถึงความน่ารักของคนทางใต้ โดยเฉพาะ
ที่เมืองวิลมิงตัน และบอกว่าเธออยากเขียนเรื่องเกี่ยวกับการต้อน
รับแขกแบบธรรมเนียมชาวใต้และความเมตตาที่มีให้กับคนต่างถิ่น
มากเพียงใดแล้ว หญิงผู้นั้นจึงรู้สึกยิ่งกว่าเต็มใจช่วยเสียอีก
''เนื่องจากคุณต้องการเพียงแค่การยืนยันข้อมูลและไม่ได้
ถามถึงเรื่องใดๆ ที่คุณไม่รู้ ฉันแน่ใจว่าไม่มีปัญหาค่ะ ถือสายรอ
สักครู่นะคะ''
เดียนน่าเคาะนิ้วเป็นจังหวะบนโต๊ะทํางานในขณะที่เสียง
เพลงของแบรี่ แมนิโล่ดังแทรกผ่านหูโทรศัพท์เข้ามา ผู้หญิงคนนั้น
ยกหูโทรศัพท์ขึ้นอีกครั้ง
ได้แล้วค่ะ มาดูกันเลย...'' เดียนน่าได้ยินเสียงเคาะแป็น
พิมพ์คอมพิวเตอร์ แล้วก็เสียงแหลมยาวแปลกๆ หลังจากนั้นพัก
หนึ่ง หญิงผู้นั้นก็กล่าวถ้อยคําที่ทั้งเดียนน่าและเธเรซ่าหวังไว้ว่า
เธอจะพูดออกมา
''ค่ะ เจอแล้ว แกเร็ต เบล็ก อืม...คุณได้ชื่อมาถูกต้องแล้ว
ค่ะ อย่างน้อยที่สุดก็เป็นชื่อตามข้อมูลที่เรามี ในนี้บอกว่าเรือชื่อ
แฮปเปนสแตนซ์''
เดียนน่ากล่าวขอบคุณเธออย่างสดซึ้ง และขอชื่อสุภาพ
สตรีผู้นั้น เพื่อเธอจะได้เขียนถึงอีกคนในฐานะที่แบบฉบับของ
ตัวอย่างการต้อนรับแขกแบบชาวใต้ หลังจากที่สะกดชื่อทวนกับ
หญิงผู้นั้นเสร็จแล้ว เธอจึงวางหูโทรศัพท์แล้วยิ้มแป้น
''แกเร็ต เบล็ก'' เธอพูดด้วยรอยยิ้มแห่งชัยชนะ นักเขียน
ที่ลึกลับของเราชื่อแกเร็ต เบล็ก
''ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่าเธอหาเขาพบแล้ว''
เดียนน่าผงกศรีษะ เหมือนกับว่าเธอประสบความสําเร็จใน
สิ่งที่แม้ตัวเธอเองก็ต้องสงสัยอยู่ ''จงเชื่อเถอะว่า หญิงชราคน
นี้ยังคงรู้วิธีสืบหาข้อมูลได้ดีอยู่''
''นั่นละคือสิ่งที่เธอทํา''
''มีอย่างอื่นที่เธออยากรู้มากกว่านี้มั้ย?''
เธเรซ่าคิดอยู่ครู่หนึ่ง
''เธอสามารถสืบรู้เรื่องที่เกี่ยวกับแคธรีนได้มั้ย?''
เดียนน่ายักไหล่ และพร้อมรับมือกับงานดังกล่าว ''ฉันไม่รู้
แต่เราอาจลองดูก็ได้ เราลองโทรศัพท์ไปตามหนังสือพิมพ์แถบนั้น
กันดีกว่า เพื่อดูว่ามีเรื่องที่เกี่ยวข้องใดๆ เก็บบันทึกไว้รึเปล่า ถ้า
เป็นความตายจากอุบัติเหตุอาจมีข่าวเขียนถึงก็ได้''
อีกครั้งที่เดียนน่าโทรศัพท์ไปตามหนังสือพิมพ์ในย่านนั้น
แล้วขอให้ต่อสายไปยังแผนกข่าว โชคไม่ดี เพราะหลังจากการพูด
คุยกับคนสองคนไปแล้ว เธอจึงได้รับการบอกเล่าว่า หนังสือพิมพ์
นับย้อนกลับไปสองสามปีจากปัจจุบันบันทึกข้อมูลไว้ในไมโครฟิล์ม
และไม่สามารถดึงข้อมูลขึ้นมาดูได้ง่ายๆ โดยไม่ระบุวันที่แน่นอน
เดียนน่าขอชื่อคนที่เธเรซ่าควรติดต่อด้วยเมื่อเธอไปถึงที่นั่น ใน
กรณีที่เธอต้องการค้นหาข้อมูลด้วยตัวเธอเองและได้ชื่อมา
''ฉันคิดว่านั่นเป็นเรื่องแทบจะทั้งหมดแล้วนะที่เราสามารถ
ทําได้จากที่นี่ ที่เหลือขึ้นอยู่กับตัวเธอแล้วเธเรซ่า แต่อย่างน้อย
ที่สุดเธอก็รู้แล้วว่าจะหาเขาพบได้ที่ไหน เธเรซ่ายังลังเลใจอยู่
เดียนน่ามองดูเธออยู่ครู่หนึ่ง แล้วจดเอกสารบนโต๊ะทํางานให้เป็น
ระเบียบ เธอยกหูโทรศัพท์ขึ้นอีกครั้ง
''ตอนนี้เธอจะโทร.หาใครอีกล่ะ?''
''ตัวแทนบริษัทท่องเที่ยวที่ฉันใช้บริการอยู่ เธอกําลังต้อง
การเที่ยวบินและที่พัก''
''ฉันยังไม่ได้พูดเลยนะว่าฉันกําลังจะไป''
''โอ้ เธอไปแน่''
''เธอแน่ใจขนาดนั้นได้ยังไง?''
''ก็เพราะว่าฉันจะไม่ยอมให้เธอนั่งสงสัยถึงสิ่งที่อาจเป็นไป
ในชีวิตอยู่แถวห้องเขียนข่าวจนไปถึงปีหน้าน่ะสิ เธอทํางานได้ไม่ดี
หรอกในขณะที่เธอมีสิ่งอื่นรบกวนใจอยู่''
''เดียนน่า...''
''ไม่ต้องมา 'เดียนน่า' กับฉันหรอก เธอก็รู้ว่าความอยาก
รู้อยากเห็นน่ะจะทําให้เธอเป็นบ้า''
''แต่ว่า...''
''ไม่มีแต่'' เธอหยุดพูดไปครู่หนึ่งแล้วคําพูดของเธอก็เริ่มนุ่ม
นวลขึ้น ''เธเรซ่า จําไว้นะว่าเธอไม่มีอะไรต้องเสีย สิ่งเลวร้ายที่สุด
ที่อาจเกิดขึ้นก็คือ เธอบินกลับมาบ้านภายในสองวัน มันก็แค่นั้น
เอง เธอไม่ได้กําลังไปสืบเสาะหรือค้นหาชนเผ่ามนุษย์กินคนนะ
เธอเพียงแค่กําลังไปค้นหาให้พบว่าความกระหายใคร่รู้ของเธอน่ะ</span></span>
ภาพประจำตัวสมาชิก
แมงป่อง
แม่ไข่หวาน พ่อไข่เค็ม
 
โพสต์: 1468
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ พ.ค. 05, 2007 10:25 pm

โพสต์โดย แมงป่อง » อาทิตย์ มิ.ย. 22, 2008 8:19 pm

<span style='color:blue'><span style='font-size:14pt;line-height:100%'>ได้รับการยืนยันตามนั้นรึเปล่า?''
ทั้งสองเงียบไปในขณะจ้องมองกัน เดียนน่ามีรอยยิ้มดุๆ
เล็กน้อยบนสีหน้า และเธเรซ่ารู้สึกว่าชีพจรของเธอเต้นเร็วขึ้น ใน
ขณะที่เธอต้องตัดสินใจครั้งสุดท้ายในทันที พระเจ้า ฉันกําลังจะ
ทําสิ่งนี้จริงๆ แล้ว ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่าฉันกําลังจะทําตามคํา
ชักจูงนี้
กระนั้นเธอก็ยังพยายามให้คําปฏิเสธแกนๆ เป็นครั้งสุดท้าย
''ฉันไม่รู้ด้วยซํ้าว่าจะพูดอะไร ถ้าในที่สุดฉันได้พบเขา...''
''ฉันแน่ใจว่าเธอคิดบางอย่างได้เอง ตอนนี้ปล่อยให้ฉัน
ดูแลเรื่องการโทรศัพท์ในครั้งนี้ก่อน ไปเอากระเป๋าถือเธอมา ฉัน
จําเป็นต้องใช้หมายเลขบัตรเครดิต''
จิตใจของเธเรซ่าสับสน ในขณะที่เธอเริ่มเดินกลับมายังโต๊ะ
ทํางานของเธอ แกเร็ต เบล็ก วิลมิงตัน ไอส์แลนด์ไดฟ์วิ่ง แฮป
เปนสแตนซ์ คําเหล่านี้เฝ้าแต่วนเวียนอยู่ในหัวเธอ ราวกับว่าเธอ
กําลังซ้อมเล่นบทบาทในละคร
เธอไขกุญแจลิ้นชักโต๊ะทํางานชั้นล่างสุดซึ่งใช้เก็บกระเป๋า
ถือ และหยุดอยู่ชั่วขณะก่อนที่จะเดินกลับไป แต่ยังมีสิ่งอื่นในใจ
รั้งเธอเอาไว้อีก แล้วในที่สุดเธอก็ยื่นบัตรเครดิตให้เดียนน่า เธอ
จะต้องออกเดินทางไปยังเมืองวิลมิงตัน รัฐนอร์ทแคโรไลน่า ในเย็น
วันถัดไป
เดียนน่าบอกให้เธอหยุดงานได้ในช่วงที่เหลือของวันนั้นและ
วันต่อๆ ไป ระหว่างที่เธอเดินออกมาจากสํานักงาน เธเรซ่าออกจะ
รู้สึกเหมือนกับว่าเธอถูกต้อนจนมุมในเรื่องบางอย่าง แบบเดียวกัน
ที่เธอต้อนนายเชนดากิ้นผู้เฒ่าจนมุม
แต่ไม่เหมือนกับนายเชนดากิ้น เพราะลึกๆ แล้วเธอ
พอใจกับมัน และเมื่อเครื่องบินแตะลงพื้นสนามบินเมือง
วิลมิงตันในวันต่อมาแล้ว เธเรซ่า ออสบอร์นก็ลงทะเบียนเข้า
พักที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ด้วยความสงสัยว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้
จะนําเธอไปพบกับเหตุการณืใด</span></span>
ภาพประจำตัวสมาชิก
แมงป่อง
แม่ไข่หวาน พ่อไข่เค็ม
 
โพสต์: 1468
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ พ.ค. 05, 2007 10:25 pm

โพสต์โดย แมงป่อง » อาทิตย์ มิ.ย. 22, 2008 9:56 pm

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'><span style='color:blue'><span style='font-size:14pt;line-height:100%'>บทที่ 5</span>

<span style='color:gray'>เธเรซ่าตื่นเช้าตามปกตินิสัย เธอลุกจากเตียงแล้ว
มองออกไปนอกหน้าต่าง ดวงอาทิตย์เหนือรัฐนอร์ทแคโรไลน่า
ฉายลําแสงอันงดงามผ่านหมอกยามรุ่งอรุณ เธอเลื่อนบานประตู
ระเบียงออกเพื่อให้ภายในห้องมีอากาศสดชื่น
ในห้องนํ้า เธอถอดชุดนอนออกแล้วเปิดนํ้าฝักบัว ขณะ
ก้าวเข้าไปในฉากกั้นที่อาบนํ้า เธอคิดว่ามันช่างง่ายดายอะไรเช่นนี้
สําหรับการเดินทางมาที่นี่ เมื่อเวลาแทบไม่ถึง 48 ชั่วโมงที่ผ่าน
มา เธอยังนั่งอยู่กับเดียนน่า ศึกษาข้อมูลในจดหมาย โทรศัพท์
และสืบหาตัวแกเร็ตอยู่เลย เมื่อเธอกลับถึงที่หอ เธอพูดคุยกับ
เอลล่าซึ่งตกลงจะคอยเฝ้าดูแลเจ้าฮาร์วี่ให้อีกครั้ง พร้อมทั้งเก็บ
จดหมายไว้ให้เธอ
วันต่อมาเธอไปยังห้องสมุดและอ่านหนังสือหาความรู้เกี่ยว
กับการดํานํ้า ซึ่งดูเหมือนว่าเป็นการทําในสิ่งที่มีเหตุผล ประสบ
การณ์หลายอย่างของเธอในฐานะผู้สื่อข่าวสอนให้เธอไม่ประเมิน
สิ่งใดตํ่าเกินไป มันสอนให้เธอวางแผนและทําดีที่สุดเพื่อเตรียม
พร้อมสําหรับทุกสิ่ง
แผนการที่เธอคิดไว้ในที่สุดก้เป็นเรื่องง่ายๆ เธอจะไปที่ร้าน
ไอส์แลนด์ไดฟ์วิ่งแล้วสอดสายตาไปจนทั่วร้าน โดยหวังว่าจะ
เห็นแกเร็ต เบล็ก ถ้าปรากฏว่าเขาเป็นชายแก่อายุ 70 ปี หรือนัก
ศึกษาอายุ 21 ปีแล้ว เธอก็เพียงแค่หันหลังแล้วเดินทางกลับบ้าน
แต่ถ้าสัญชาตญาณของเธอและเดียนน่าถูกต้องแล้ว เขาน่าจะมี
อายุใกล้เคียงกับวัยของเธอ เธอตกใจว่าจะพยายามพูดคุยกับ
เขา นั่นคือเหตุผลที่ว่าทําไมต้องใช้เวลาเรียนรู้บางอย่างเกี่ยวกับ
การดํานํ้าแบบสคูบ้า* (* scuba diving- เป็นการดํานํ้าโดยใช้อุป
กรณ์ช่วยหายใจต่อเข้ากับถังอากาศ คําว่า SCUBA ย่อมาจาก Self
Contained Underwater Breathing Apparatus)
เพราะเธอต้องการให้ดูเหมือนว่าเธอรู้อะไร
บ้างเกี่ยวกับเรื่องนั้น อีกอย่าง บางทีเธออาจได้เรียนรู้เรื่องเกี่ยว
กับตัวเขามากขึ้นด้วย ถ้าเธอสามารถคุยกับเขาในเรื่องบางอย่าง
ที่เขาสนใจ โดยไม่ต้องบอกให้เขารู้มากเกินไปเกี่ยวกับเรื่องของตัว
เธอเอง ต่อจากนั้นเธอก็จะเข้าใจเรื่องต่างๆ ดีขึ้น
แต่หลังจากนั้นล่ะ? นั่นคือส่วนที่เธอไม่แน่ใจ เธอไม่อยาก
บอกความจริงโดยถ่องแท้กับแกเร็ตว่าทําไมเธอจึงเดินทางมาที่นี่
มันฟังดูบ้าสิ้นดี หากเธอพูดว่า สวัสดีค่ะ ฉันอ่านจดหมายที่คุณ
เขียนถึงแคธรีน และรู้ดีว่าคุณรักเธอมากเพียงใด ฉันแค่คิดว่า
คุณอาจเป็นผู้ชายที่ฉันกําลังมองหา ไม่ ไม่มีทางทําอย่างนั้นได้
และทางเลือกอื่นก็ดูเหมือนไม่ดีไปกว่ากันมากนัก หากเธอพูดว่า
สวัสดีค่ะ ฉันมาจากหนังสือพิมพ์บอสตันไทมส์ และฉันพบจด
หมายของคุณ ให้เราทําเรื่องเกี่ยวกับคุณได้มั้ยคะ? นั้นก็ดูไม่
เหมาะสมเช่นกัน รวมทั้งวิธีอื่นๆ ที่กลั่นกรองออกมาจากความคิด
ของเธอก็ล้วนแล้วแต่ดูไม่เหมาะสมทั้งสิ้น
แต่เธอไม่ได้มาไกลขนาดนี้เพื่อจะยอมแพ้ แม้ว่าจริงๆ แล้ว
เธอไม่รู้จะพูดอะไรเลยก็ตาม อีกอย่าง ก็เหมือนกับที่เดียนน่าพูด
ถ้ามันไม่ได้ผลตามที่คาดไว้ เธอก็แค่กลับบอสตัน
เธอก้าวออกมาจากฉากกั้นที่อาบนํ้าฝักบัว เช็ดตัวจนแห้ง
ก่อนที่จะทาโลชั่นไปตามแขนและขา จากนั้นก็สวมเสื้อแขนสั้น
สีขาว กางเกงยีนขาสั้น และรองเท้าแตะสีขาว เธออยากให้การ
แต่งตัวดูออกมาสบายๆ แล้วเธอก็ทําได้อย่างนั้นจริงๆ สิ่งที่เธอ
ไม่ต้องการคือการถูกตั้งข้อสังเกตฌดยทันที ว่ากันที่จริงแล้ว เธอก็
ยังไม่รู้ถึงสิ่งที่เธอคาดหวังเลย อีกอย่าง เธอต้องการโอกาสที่จะ
ประเมิณสถานการณ์ด้วยความรู้สึกของเธอเองโดยไม่ต้องเกี่ยวข้อง
กับใคร
ในที่สุดเมื่อเธอพร้อมที่จะไปแล้ว จึงหาโทรศัพท์เปิดไล่
ดูจนทั่ว และจดที่อยู่ของร้านไอส์แลนด์ไดฟ์วิ่งลงบนเศษกระดาษ
อย่างหวัดๆ สองอึดใจต่อมา เธอก้เดินลงไปถึงห้องโถงโรงแรม
และท่องคําพูดเตือนสติของเดียนน่าซํ้าอีกครั้ง
เธอจอดรถแวะที่ร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่งเป็นจุดแรกเพื่อซื้อ
แผนที่เมืองวิลมิงตัน พนักงานประจําเคาน์เตอร์ในร้านอธิบายเส้น
ทางแก่เธอ ทําให้เธอหาทางไปได้อย่างง่ายดาย ทั้งๆ ที่ความจริง
แล้ววิลมิงตันเป็นเมืองที่ขนาดใหญ่กว่าที่เธอคาดไว้ ตามถนนหน
ทางมีรถยนต์หนาแน่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่เธอขับรถข้าม
สะพานไปยังชายหาดซึ่งนําไปสู่เกาะต่างๆ รอบชายฝั่งได้ทันที มี
สะพานข้ามจากตัวเมืองไปสู่หาดคูรี หาดแคโรไลน่า และหาดไรส์
วิล และดูเหมือนการจราจรส่วนใหญ่จะมุ่งไปสู่สถานที่นั้น
ร้านไอส์แลนด์ไดฟ์วิ่งตั้งอยู่ใกล้ท่าเรือ เมื่อเธอขับรถผ่าน
มาถึงเมืองเล็กๆ การจราจรก็เริ่มเบาบางลงบ้าง และหลังจากมา
ถึงถนนที่เธอต้องการไปแล้ว เธอจึงชะลอรถและมองหาร้าน
ร้านตั้งอยู่ไม่ไกลจากจุดที่เธอเลี้ยวรถเข้ามา ในขณะเดียว
กับที่เธอหวังว่าจะได้ที่จอดรถข้างอาคารร้าน แต่ก็มีรถคันอื่นสอง
สามคันเข้าไปจอดก่อน เธอจึงต้องจอดรถในที่ว่างห่างจากประตู
ทางเข้าร้านออกไปสองสามช่องจอด
ร้านเป็นอาคารไม้ทรุดโทรม สีของอาคารจางลงจากอากาศ
ที่มรไอเค็มและลมทะเล ด้านหนึ่งของร้านหันหน้าไปทาง Atlantic
Intracoastal Waterway*(*ระบบเครือข่ายการสัญจรทางนํ้าภายใน
สหรัฐอเมริกาตลอดแนวชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก รวมตลอดถึง
แม่นํ้า อ่าว และคลองต่างๆ เป็นเส้นทางขนส่งสินค้าทางเรือที่สําคัญ
แห่งหนึ่งในประเทศ แผ่ขยายไปตลอดแนวชายฝั่งรัฐนอร์ทแคโรไล
น่า ตั้งแต่เคปคอดไปจนถึงตอนใต้ของรัฐฟลอลิด้า มีที่จอดเรือสําหรับ
เรือพาณิชย์และเรือท่องเที่ยว)
ป้ายชื่อร้านเขียนด้วยมือแขวนติดอยู่กับ
โซ่เหล็กสนิมเกรอะกรังสองเส้น และหน้าต่างร้านดูหนาเขรอะไป
ด้วยฝุ่นที่มากับพายุฝนนับพันครั้ง
เธอก้าวออกมาจากรถ ปัดผมที่ระใบหน้า แล้วออกเดินตรง
ไปยังประตูทางเข้าร้าน เธอหยุดอยู่ครู่หนึ่ง หายใจเข้าลึกๆ และ
รวบรวมความคิดก่อนที่จะเปืดประตูเข้าไป จากนั้นจึงก้าวเข้าไป
ในร้านโดยพยายามอย่างที่สุดที่จะแสร้งทําเป็นว่าเธอไปที่นั่นด้วย
เหตุผลธรรมดาทั่วไป
เธอกวาดสายตาไปทั่วร้าน เดินไปตามช่องทางเดินระหว่าง
ชั้นวางสินค้า เฝ้าดูลูกค้าหลากหลายประเภทหยิบสินค้าชิ้นต่างๆ
จากชั้นวางมาดู แล้ววางกลับคืนที่เดิม เธอจับตามองหาใครบาง
คนซึ่งดูแล้วเป็นคนทํางานอยู่ที่นั่น เธอลอบชําเลืองมองผู้ชายใน
ร้านทุกคน ด้วความสงสัยว่าคุณคือแกเร็ตใช่มั้ย? แต่กระนั้นก็ดู
เหมือนว่าคนส่วนใหญ่เป็นเพียงแค่ลูกค้าเท่านั้น
เธอพยายามเบียดตัวผ่านคนในร้านไปที่ผนังหลังร้าน และ
รู้สึกว่าตัวเองกําลังจ้องไปยังภาพลําดับต่างๆ จากหนังสือพิมพ์
และบทความในนิตยสารที่ใส่กรอบเคลือบพลาสติกแขวนอยู่เหนือ
ชั้นวางสิ้นค้า หลังจากที่เหลือบมองแวบเดียว เธอก็ก้มตัวไปข้าง
หน้าเพื่อมองให้ชัดขึ้น และทันใดนั้นเธอก็ตระหนักว่า เธอได้ค้น
พบคําตอบต่อคําถามแรกที่มีเกี่ยวกับความลับของแกเร็ต เบล็ก
เข้าแล้วโดยไม่ได้คาดคิด
ในที่สุดเธอก็รู้แล้วว่าเขามีรูปร่างหน้าตาอย่างไร
บทความแรกเป็นบทความจากหนังสือพิมพ์ซึ่งนํามาพิมพ์
ซํ้าเกี่ยวกับเรื่องการดํานํ้าแบบสคูบ้า และคําอธิบายใต้ภาพมี
เพียงข้อความอ่านว่า แกเร็ต เบล็ก จากร้านไอส์แลนด์ไดฟ์วิ่ง
พร้อมเปิดสอนสําหรับการดํานํ้าครั้งแรกในทะเลแล้ว
ในภาพ เขากําลังปรับสายรัดถังอากาศที่หลังของนักเรียน
คนหนึ่ง และเธอบอกได้จากภาพว่า เธอและเดียนน่าคิดไว้ในเรื่อง
นี้เกี่ยวกับเขาถูกต้องแล้ว เขาดูอายุราวๆ 30 ปี ใบหน้าผอมเรียว
ผมสั้นสีนํ้าตาลเข้ม ดูเหมือนการใช้ชีวิตกลางแจ้งวันละหลาย
ชั่วโมงจะกัดสีผมเขาให้ซีดลงเล็กน้อย เขาสูงกว่านักเรียนในภาพ
ประมาณ 2 นิ้ว และเสื้อเชิ้ตแขนกุดที่เขาใส่อยู่ทําให้เห็นกล้าม
เนื้อในวงแขนเขาชัดเจน
เธอดูไม่ออกว่าดวงตาของเขาสีอะไรเพราะภาพดังกล่าว
มีเม็ดกระดํากระด่างเล็กน้อยเนื่องจากความเก่า กระนั้น ก็พอบอก
ได้ว่าใบหน้าเขาเสื่อมโทรมจากการตากแดดตากลม เธอคิดว่า
เธอเห็นรอยย่นรอบดวงตาเขา แต่บางทีอาจเกิดจากการหรี่ตา
จากแสงแดดจ้าก็ได้
เธออ่านบทความที่แขวนอยู่อย่างละเอียดและจดไว้ว่า โดย
ทั่วไปแล้วเขาสอนชั้นเรียนของเขาเมื่อไหร่ และข้อมมูลบางประการ
เกี่ยวกับการได้รับใบรับรองผ่านการอบรมดํานํ้า บทความที่สอง
ไม่มีภาพแต่พูดถึงการดํานํ้าชมซากเรือ ซึ่งเป็นที่นิยมในรัฐนอร์ท
แคโรไลน่า ดูเหมือนว่ารัญนอร์ทแคโรไลน่าจะมีแผนที่แสดงจุดที่
เรียกว่า 500 ลํา ซึ่งออกเดินทางไปไม่ไกลจากชายฝั่งอับปางลง
โดยเรียกกันว่าสุสานแห่งมหาสมุทรแอตแลนติก เนื่องจากบริเวณ
ฝั่งทะเลชั้นนอกและเกาะอื่นๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากชายฝั่งนั้นมีเรือ
หลายรําเกยตื้นอยู่เป็นเวลานับร้อยปีมาแล้ว
บทความที่สามไม่มีรูปอีกเช่นเคย เป็นเรื่องเกี่ยวกับเรือรบ
โมนิเตอร์ ซึ่งเป็นเรือหุ้มเกราะลําแรกของสหพันธรัฐซึ่งใช้ในสง
ครามกลางเมืองที่จมลงนอกชายฝั่งแหลมแฮตเทอรัส ในปี ค.ศ.
1862 ระหว่างทางไปรัฐเซาท์แคโรไลน่า ขณะที่เรือกลไฟลากอยู่
ในที่สุดซากเรือก็ได้รับการค้นพบ และแกเร็ต เบล็ก พร้อมทั้งนัก
ดํานํ้าคนอื่นจากสถาบันดุ๊กมารีนได้รับการร้องขอให้ดํานํ้าไปใต้
ท้องสมุทร เพื่อสํารวจดูความเป็นไปได้ในการกู้ซากเรือขึ้นมา
บทความที่สี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับเรือแฮปเปนสแตนซ์ มีภาพ
ถ่ายเรือจากมุมที่ต่างกัน 8 ภาพ ทั้งด้านนอก ด้านใน ตลอดจน
รายละเอียดของการซ่อมแซมทั้งหมด เธอเรียนรู้ว่าเรือดังกล่าวมี
ลักษณะโดเด่นอย่างแท้จริง ภายในทําด้วยไม้ทั้งหมดและสร้าง
ขึ้นเป็นครั้งแรกที่เมืองลิสบอน ประเทศโปรตุเกส ในปี 1927 ออก
แบบโดยเฮอราชอฟฟ์ ซึ่งเป็นหนึ่งใยวิศวกรทางทะเลที่มีชื่อเสียง
ที่สุดในช่วงเวลานั้น เรือรํานี้มีประวัตอันยืดยาวและเต็มไปด้วย
การผจญภัย (รวมถึงการนําไปใช้ในสงครามโลกครั้งที่สอง เพื่อ
สอดแนมกองกําลังทหารเยอรมันซึ่งเรียงรายอยู่ตามชายฝั่งของ
ประเทศฝรั่งเศส) ท้ายที่สุด เรือเดินทางมายังเมืองแนนทัคเคท
ณ ที่แห่งนี้ นักธุระกิจในท้องถิ่นผู้หนึ่งได้ซื้อไว้ เมื่อแกเร็ต เบล็ก
ซื้อเรือลํานี้มาเมื่อสี่ปีที่แล้ว มันอยู่ในสภาพที่ต้องซ่อมแซม และ
บทความนั้นพูดถึงว่า เขาและแคธรีนภรรยาของเขาได้ซ่อมแซมเรือ
ขึ้นมาใหม่
แคธรีน...
เธเรซ่ามองดูวันที่ระบุในบทความดังกล่าว เมษายน 1992
ในบทความนั้นไม่ได้พูดถึงเลยว่าแคธรีนตายไปแล้ว และเนื่อง
จาหนึ่งในบรรดาจดหมายที่เธอมีอยู่พบเมื่อ 3 ปีก่อนที่เมืองนอร์
ฟอล์ก นั่นหมายความว่าแคธรีนต้องตายในช่วงปี 1993
''มีอะไรให้ช่วยมั้ยครับ?''
เธเรซ่าหันตรงไปยังเสียงข้างหลังเธอตามสัญชาตญาณ
ชายหนุ่มคนหนึ่งกําลังยิ้มอยู่ข้างหลังเธอ และเธอรู้สึกดีใจขึ้นมา
ทันทีที่ได้เห็นรูปแกเร็ตมาเมื่อครู่ก่อน ทําให้เธอเห็นได้ชัดว่าชาย
คนนี้ไม่ใช่เขา
''ผมทําให้คุณตกใจรึเปล่าครับ?'' เขาถาม
เธเรซ่ารีบสั่นศรีษะ
''ไม่ค่ะ...ฉันเพียงแค่กําลังดูรูปเหล่านี้อยู่''
เขาผงกศรีษะหน้ารูปที่เรียงรายอยู่ ''วิเศษสุดเลยใช่มั้ย
ครับ?''
''ใครคะ?''
''ก็เรือแฮปเปนสแตนซ์ไงครับ แกเร็ตผู้ชายที่เป็นเจ้าของ
ร้านสร้างเรือลํานี้ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง มันเป็นเรือที่แสนวิเศษ ตอน
นี้มันซ่อมแซมเสร็จแล้ว และเป็นเรือที่สวยที่สุดลําหนึ่งเท่าที่ผม
เคยเห็นมาเลย''
''เขาอยู่ที่นี่มั้ยคะ?'' ฉันหมายถึงแกเร็ตน่ะค่ะ''
''ไม่ครับ เขาลงไปที่ท่าเรือ เช้านี้เขาไม่อยู่ร้านจนกว่า
จะสายกว่านี้''
''อ๋อ...''
''ให้ผมช่วยคุณหาของบางอย่างมั้ยครับ?''
''ผมรู้ว่าร้านออกจะไม่เป็นระเบียบ แต่ทุกอย่างที่คุณจํา
เป็นต้องใช้ในการดํานํ้า คุณสามารถหาได้ที่นี่ครับ''
เธอสั่นศรีษะ ''ไม่ละค่ะ ฉันแค่เดินดูไปทั่วๆ''
''ได้ครับ แต่ถ้าผมพอจะช่วยคุณหาของบางอย่างได้ ก็
บอกผมด้วยแล้วกัน''
''แล้วฉันจะบอกค่ะ'' เธอพูด ชายหนุ่มคนนั้นพยักหน้า
อย่างร่าเริง แล้วหันกลับเดินตรงไปยังเคานืเตอร์หน้าร้านก่อนที่
เธอจะหยุดพูด จากนั้นเธอก็ได้ยินเสียงตัวเองถามออกไปว่า
''คุณพูดว่าแกเร็ตอยู่ท่าเรือใช่มั้ยคะ?''</span> </span></span>
ภาพประจำตัวสมาชิก
แมงป่อง
แม่ไข่หวาน พ่อไข่เค็ม
 
โพสต์: 1468
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ พ.ค. 05, 2007 10:25 pm

โพสต์โดย plahide » จันทร์ มิ.ย. 23, 2008 2:59 am

อ่านจนตาลายเลย ยังไงก็เอาตอนต่อไปมาลงต่อด้วยนะคะ จะรออ่านค่ะ
<img src='http://i133.photobucket.com/albums/q62/pla_album/IMG_2355.jpg' border='0' alt='user posted image' /><br><br><span style='font-size:8pt;line-height:100%'><span style='font-size:14pt;line-height:100%'><span style='color:blue'>ซื่อสัตย์ต่อตนเองและผู้อื่น เชื่อใจกันและกัน</span></span></span><br><br><a href='http://hoshii.bloggang.com' target='_blank'>แค่แวะเข้ามาชม เราก็นิยมคุณอยู่ในใจ</a>
ภาพประจำตัวสมาชิก
plahide
แม่ไข่ตุ๋น พ่อไข่ต้ม
 
โพสต์: 196
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ส.ค. 08, 2006 2:29 am

โพสต์โดย แมงป่อง » จันทร์ มิ.ย. 23, 2008 2:13 pm

<span style='color:green'><span style='font-size:14pt;line-height:100%'>เขาหันมาอีกครั้งแล้วเดินเรื่อยมาจนถึงหลังร้านในขณะที่
เขาพูด ''ใช่ครับ จากที่นี่ลงไปตามถนนสองช่วงตึกที่ท่าเรือ คุณ
รู้มั้ยครับว่าท่าเรือแห่งนั้นอยู่ที่ไหน?''
''ฉันคิดว่าฉันขับรถผ่านระหว่างทางที่มาที่นี่ละค่ะ''
''เขาน่าจะยังอยู่ที่นั่นในอีกชั่วโมงหรือประมาณนั้น แต่ก็
เหมือนที่ผมบอกนั่นแหละ ถ้าคุณกลับมาที่นี่ช่วงสายกว่านี้หน่อย
เขาก็จะอยู่ที่นี่แหละครับ คุณต้องการให้ผมฝากข้อความถึงเขา
มั้ย?''
''ไม่ละค่ะ ไม่เป็นไร ไม่มีอะไรสําคัญขนาดนั้นหรอกค่ะ''
เธอใช้เวลา 3 นาทีต่อมาแสร้งทําเป็นดูสินค้าหลากหลาย
บนชั้นต่างๆ แล้วเดินออกจากร้าน หลังจากโบกมือลาชายหนุ่มผู้
นั้น
แต่แทนที่จะตรงไปที่รถ เธอกลับมุ่งหน้าไปยังทางไปท่าเรือ
เมื่อเธอมาถึงท่าเรือ เธอมองไปรอบๆ โดยหวังที่จะได้เห็น
เรือแฮปเปนสแตนซ์ เนื่องจากเรือส่วนใหญ่มีสีขาว และเรือแฮป
เปนสแตนซ์เป็นสีไม้ธรรมชาตเธอจึงหาเรือลํานั้นพบได้อย่างง่าย
ดาย แล้วเดินมาจนถึงทางลาดลงเรือพอดี
แม้เธอจะรู้สึกตื่นเต้น ในขณะที่เธอเริ่มก้าวลงไปยังทางลาด
แต่บทความที่เธอได้อ่านจากในร้านก็ทําให้เธอเกิดความคิดเรื่องที่
จะพูดคุยกันในสองสามเรื่อง เมื่อเธอพบเขา เธอจะอธิบายเพียง
แค่ว่า หลังจากอ่านบทความเกี่ยวกับเรือแฮปเปนสแตนซ์แล้ว เธอ
จึงอยากมาดูเรือใกล้ๆ นฟังดูน่าเชื่อดี แล้วเธอก็หวังว่ามันจะได้
ใช้เป็นประโยชน์ในการนําไปสู่บทสนทนาที่ยืดยาวขึ้น แล้วต่อจาก
นั้นแน่นอนว่า เธอจะเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมาได้ว่าตัวจริงแล้ว
เขาเป็นคนอย่างไร หละหลังจากนั้น...เอาละ แล้วเธอจะได้เห็นเอง
แต่เมื่อเข้าไปใกล้เรือ สิ่งแรกที่เธอสังเกตคือ ดูเหมือนไม่มี
ใครอยู่แถวนั้นเลย ไม่มีใครอยู่บนเรือ ไม่มีใครอยู่บนท่าเรือ และดู
ราวกับว่าไม่มีใครอยู่นั่นเลยตลอดช่วงเช้า ประตูห้องพักในเรือ
ล็อกกุญแจ มีผ้าคลุมใบเรือ และดูเหมือนไม่มีสิ่งใดอยู่ผิดที่ผิดทาง
เลย หลังจากมองไปรอบๆ เพื่อหาร่องรอยของเขาแล้ว เธอก็ตรวจ
ดูชื่อที่ด้านหลังเรือ มันคือเรือแฮปเปนสแตนซ์จริงๆ เธอปัดผม
ที่ลมพัดระใบหน้าไปด้านข้าง ในขณะที่พยายามมาองหาคําตอบ
น่าแปล เธอคิด ผู้ชายที่ร้านบอกว่าเขาอยู่ที่นี่
แทนที่จะกลับไปยังร้านทันที เธอกลับใช้เวลาชื่นชมหรืออยู่
พักหนึ่ง เรือลํานี้งดงาม ลํ้าค่า และโดดเด่น ไม่เหมือนเรือลําอื่นที่
จอดอยู่รอบๆ มันมีลักษณะพิเศษกว่าเรือใบรําอื่นที่จอดเทียบอยู่
ทั้งสองข้างเป็นอย่างมาก เธอรู้ดีว่าเหตุใดหนังสือพิมพ์จึงทําบท
ความเกี่ยวกับเรือลํานี้ จากมุมมองหนึ่ง ทําให้เธอนึกถึงเรือโจร
สลัดที่เธอเคยเห็นจากภาพยนตร์ในขนาดที่เล็กกว่านั้นมาก เธอ
ก้าวเดินหน้าถอยหลังอยู่สองสามนาทีเพื่อศึกษาเรือจากมุมมองที่
แตกต่างกัน และสงสัยว่ามันทรุดโทรมไปมากแค่ไหนก่อนซ่อมแซม
ส่วนประกอบเรือส่วนใหญ่ดูใหม่ แต่เธอสันนิษฐานว่าไม่ได้ใช้ไม้
ใหม่มาติดตั้งแทนไม้เดิมทั้งหมด บางทีอาจมีการใช้กระดาษทราย
ขัดผิวไม้ให้เรียบ และเมื่อมองเข้าไปใกล้ๆ เธอจึงเห็นรอยลึกอยู่
ในลําเรือ ทําให้ทฤษฏีของเธอเป็นอันเชื่อถือได้
ในที่สุดเธอจึงตัดสินใจกลับไปที่ร้านไอส์แลนด์ไดฟ์วิ่งสาย
ขึ้นอีกเล็กน้อย ผู้ชายที่ร้านคงเข้าใจผิดอย่างแน่นอน หลังจาก
ชําเลืองดูเรือเป็นครั้งสุดท้าย เธอจึงหันหลังเดินจากไป
ชายซึ่งยืนอยู่บนทางลาดลงเรือห่างจากเธอสองสามฟุต
กําลังเฝ้าดูเธออยู่อย่างระแวดระวัง
แกเร็ต...
เขามีเหงื่ออกจากอากาศร้อนยามเช้า และเสื้อเชิ้ตของ
เขามีบริเวณที่ชุ่มเหงื่ออยู่สองสามแห่ง แขนเสื้อที่ตัดออกไปเผย
ให้เห็นกล้ามเนื้ออันแข็งแกร่งตลอดลําแขนของเขา มือทั้งสองข้าง
ของเขาเลอะสีดําจากสิ่งที่ดูเหมือนจาระบี และนาฬิกาดํานํ้าที่เขา
ใส่อยู่บนข้อมือมองเห็นรอยขีดข่วนเต็มไปหมด เหมือนกับว่าเขาใช้
มันมานานหลายปีแล้ว เขาสวมกางเกงขาสั้นสีนํ้าตาล ใส่รองเท้า
ท็อปไซเดอร์ ไม่สวมถุงเท้า และดูเหมือนคนส่วนใหญ่ ถ้าหากไม่
ได้ใช้เวลาทั้งหมดอยู่ใกล้ทะเล
เขาเฝ้าดูเธอ ขณะที่เธอก้าวถอยหลังออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ
''มีอะไรให้ผมช่วยบ้างมั้ยครับ?'' เขาถามและยิ้ม แต่ไม่ได้เดินเข้า
มาใกล้เธอ เหมือนกับเขาจะเกรงว่าเธออาจรู้สึกติดกับ
นั่นคือสิ่งที่เธอรู้สึกจริงๆ เมื่อเขาและเธอสบตากัน
ทั้งหมดที่เธอทําได้ในชั่วครู่หนึ่งคือการจ้องมองเขา ทั้งๆ ที่
ความจริงแล้วเธอเคยเห็นรูปถ่ายของเขามาก่อน แต่เขาดูดีกว่าที่
เธอคาดไว้ แม้เธอจะไม่แน่ใจว่าเพราะเหตุใดก็ตาม เขามีรูปร่าง
สูงและไหล่กว้าง แต่ไม่ได้หล่อนจนสะดุดตา ใบหน้าของเขาเป็นสี
แทนและหยาบกร้าน เหมือนกับว่ามันถูดทําลายโดยแสงแดดและ
ทะเล ดวงตาของเขาแทบจะไม่มีมนต์สะกดเหมือนดวงตาของ
เดวิดเลย แต่แน่นอนว่ามีบางอย่างในตัวเขาที่กระตุ้นให้เกิดความ
สนใจเป็นอย่างมาก บางอย่างที่แสดงถึงลักษณะแห่งชายชาตรี
ในท่วงท่าที่เขายืนอยู่ต่อหน้าเธอ
เมื่อจําแผนการที่เธอคิดไว้ได้แล้ว เธอจึงสูดหายใจเข้าลึกๆ
หนึ่งครั้ง แล้วโบกไม้โบกมือไปทางเรือแฮปเปนสแตนซ์
''ฉันเพียงแค่กําลังชื่นชมเรือของคุณอยู่น่ะค่ะ มันงดงาม
จริงๆ''
เขาพูดอย่างสุภาพ ในขณะที่ถูมือทั้งสองเข้าด้วยกันเพื่อ
เอาจารบีที่ไม่ต้องการออกไปว่า ''ขอบคุณครับ เป็นความกรุณา
ที่คุณพูดเล่นเช่นนั้น''
การจ้องมองเขม็งของเขาดูเหมือนจะเผยให้เห็นสถานการณ์
ที่เป็นจริง แล้วทันใดนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็ประดังเข้ามาในหัวเธอ
ทันที ตั้งแต่การพบขวดใบนั้น ความกระหายใคร่รู้ทวีขึ้น การ
สืบค้นที่ได้ทํามา การเดินทางมายังเมืองวิลมิงตัน และในที่สุดก็มา
ถึงการพบกันแบบประจันหน้าในครั้งนี้ ด้วยความรู้สึกอันท่วมท้น
เธอหลับตาลง และรู้ว่ากําลังต่อสู้กับความรู้สึกของตัวเองเพื่อควบ
คุมมันไว้ไม่ว่าจะเป็นด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งก็ตาม เธอไม่คาดคิดว่า
เหตุการณ์ครั้งนี้จะเกิดขึ้นมารวดเร็วขนาดนี้ ชั่วขณะนั้นเธอรู้สึก
กลัวขึ้นมาอย่างแท้จริงโดยฉับพลัน
เขาก้าวมาข้างหน้าเล็กน้อย ''คุณสบายดีหรือเปล่าครับ?''
เขาถามด้วยนํ้าเสียงที่แสดงความห่วงใย
เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ อีกครั้ง และอยากให้ตัวเองรู้สึกผ่อน
คลายลง เธอพูดขึ้นว่า ''ค่ะ ฉันสบายดี เพียงแค่รู้สึกเวียนศรีษะ
เล็กน้อยครู่หนึ่งตอนที่อยู่บนเรือเท่านั้นเองค่ะ''
''คุณแน่ใจนะ?''
เธอเสยผมไปข้างหลังด้วยความอาย
''ค่ะ ตอนนี้ฉันสบายดีแล้วจริงๆ''
''ดีแล้วครับ'' เขาพูดเหมือนกําลังรอดูว่าเธอกําลังพูดความ
จริงหรือไม่ หลังจากที่เขาแน่ใจว่าเธอไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ แล้ว
เขาจึงถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ว่า ''เราเคยพบกันมาก่อนหรือ
เปล่าครับ?''
เธเรซ่าสั่นศรีษะช้าๆ ''ฉันคิดว่าไม่เคยนะคะ''
''แล้วคุณทราบได้ยังไงว่าเรือลํานี้เป็นเรือของผม?''
ด้วยความโล่งใจ เธอตอบไปว่า ''โอ้ ฉันเห็นรูปถ่ายคุณที่
ร้านในบทความที่แขวนไวที่ผนังพร้อมกับรูปถ่ายเรือน่ะค่ะ ชาย
หนุ่มที่ร้านคุณบอกว่าคุณคงจะอยู่ที่นี่ และฉันคิดว่าฉันน่าจะลง
มาพบคุณด้วยตัวเองในช่วงเวลาที่คุณอยู่''
''เขาพูดว่าผมอยู่ที่นี่?''
เธอเงียบไปในขณะที่เธอจําคําพูดที่แน่นอนได้
''จริงๆ ค่ะ เขาบอกฉันว่าคุณอยู่ที่ท่าเรือ ฉันเพียงแค่นึก
เอาเองว่า นั่นหมายถึงคุณอยู่ที่นี่''
เขาผงกศรีษะ ''ผมอยู่ที่เรือลําอื่น เรือซึ่งเราใช้สําหรับการ
ดํานํ้าน่ะครับ''
เรือหาปลาลําเล็กๆ ลําหนึ่งกดแตร แกเร็ตจึงหันไปตาม
เสียงแล้วโบกมือให้ชายที่กําลังบนพื้นดาดฟ้าเรือ* (*ในเรือขนา
ดกลางและเรือใบ หมายถึงบริเวณที่เป็นพื้นราบบนตัวเรือ ซึ่ง
อาจมีระดับลดหลั่นกันเล็กน้อย)หลังจาก
ที่เรือลํานั้นแล่นผ่านไปแล้ว เขาจึงหันหน้ามาหาเธออีกครั้งและนิ่ง
งันอยู่กับความสวยของเธอ เธอยิ่งดูดีขึ้นในระยะใกล้มากกว่า
ตอนที่เขาได้เห็นเธอเมื่อมองจากฟากท่าเรือ ด้วยความรู้สึกที่ถูก</span></span>
ภาพประจำตัวสมาชิก
แมงป่อง
แม่ไข่หวาน พ่อไข่เค็ม
 
โพสต์: 1468
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ พ.ค. 05, 2007 10:25 pm

โพสต์โดย แมงป่อง » จันทร์ มิ.ย. 23, 2008 6:29 pm

<span style='color:orange'><span style='font-size:14pt;line-height:100%'>กระตุ้นขึ้นโดยฉับพลัน เขาหลุบตาลง แล้วเอื้อมไปหยิบผ้าเช็ดหน้า
ผืนใหญ่สีแดงที่อยู่ในกระเป๋าหลังออกมาเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก
''คุณซ่อมแซมเรือลํานี้ได้วิเศษมากเลยค่ะ'' เธเรซ่าพูด
เขายิ้มเจื่อนๆ ในขณะที่เขาเก็บผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่ไว้ที่เดิม
''ขอบคุณครับ เป็นความกรุณาที่พูดเช่นนั้น''
เธเรซ่ามองไปยังเรือแฮปเปนสแตนซ์ทั่วๆ ลําในขณะที่เขา
พูด แล้วจึงหันกลับมาหาเขา
''ฉันรู้ดีค่ะว่ามันไม่ใช่เรื่องอะไรของฉันเลย'' เธอพูดขึ้นอย่าง
ไม่เป็นงานเป็นการ ''แต่ในเมื่อคุณก็อยู่ที่นี่แล้ว คุณจะรังเกียจมั้ย
ถ้าฉันจะถามคุณนิดหน่อยเกี่ยวกับเรือลํานี้''
''คุณอยากรู้อะไรครับ?''
เธอพยายามอย่างที่สุดที่จะทําให้เสียงเธอฟังดูเป็นการพูด
คุยกันอย่างไม่เป็นทางการ
''เอาละค่ะ เรืออยู่ในสภาพที่ยํ่าแย่เมื่อแรกที่คุณได้มันมา
ตามที่บอกไว้ในบทความหรือเปล่าคะ?''
''ใช่ครับ มันอยู่ในสภาพที่แย่ยิ่งกว่านั้นซะอีก'' เขาก้าวมา
ข้างหน้า แล้วชี้ตามจุดต่างๆ หลายอย่างบนเรือในขณะที่เขาพูดถึง
มันอยู่ ''ไม้ที่อยู่ส่วนหัวเรือหลายชิ้นผุ มีรอยรั่วเรียงต่อกันมาตาม
ด้านข้างเรือ เป็นเรื่องน่าแปลกที่มันยังลอยลําอยู่ได้ ในที่เรา
ต้องนําไม้ส่วนที่ยังดีอยู่ของตัวเรือและดาดฟ้าเรือมาใช้แทนที่ แล้ว
ใช้กระดาษทรายขัดส่วนที่เหลือทั้งหมดทั่วทั้งลํา อุดรอยรั่ว แล้วใช้
นํ้ายาชักเงาทาอีกครั้ง และนั่นเป็นเพียงแค่ภายนองเท่านั้น เรา
ต้องซ่อมแซมภายในด้วย ซึ่งต้องใช้เวลานานกว่าภายนอก''
แม้เธอจะสังเกตคําว่า ''เรา'' ในคําตอบของเขา แต่เธอก็
ตัดสินใจที่จะไม่แสดงความเห็นถึงเรื่องนั้น
''มันต้องเป็นงานที่หนักมากเลยนะคะ''
เธอยิ้มในขณะพูด แกเร็ตรู้สึกว่ามีบางอย่างเกร็งอยู่ภายใน
ร่างกาย ให้ตายสิ เธอสวยจริงๆ
''ใช่ครับ แต่ก็คุ้มกับความเหนื่อยยาก มันให้ความรู้สึก
สนุกกว่าการแล่นเรือใบลําอื่น''
''ทําไมคะ?''
''ก็เพราะว่าเรือลํานี้สร้างขึ้นมาโดยคนซึ่งใช้มันในการหา
เลี้ยงชีพน่ะสิครับ พวกเขาให้ความใส่ใจเป็นอย่างมากในการออก
แบบมันขึ้นมา และนั่นทําให้การล่องเรือใบง่ายขึ้นมากเลย''
''ฉันเข้าใจว่าคุณคงแล่นเรือใบมานานแล้วนะคะ''
''ตั้งแต่ผมยังเป็นเด็กอยู่เลยครับ''
เธอผงกศรีษะ หลังจบคูสนทนาไม่นานนักเธอก็ขยับเท้า
ก้าวตรงไปที่เรือ ''คุณจะรังเกียจมั้ยคะ?''
เขาสั่นศรีษะ ''ไม่ครับ เชิญเลย''
เธเรซ่าก้าวก้าวตรงไปยังเรือและใช้มือลูบไปตามลําเรือ แกเร็ต
สังเกตเห็นว่าเธอไม่ได้สวมแหวน แม้ว่าด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งแล้ว
มันจะเป็นเรื่องที่ไม่น่าใส่ใจเลยก็ตาม เธเรซ่าถามโดยไม่ได้หันหน้า
มามอง ''ไม้อะไรคะ?''
''มะฮอกกานีครับ''
''ทั้งลําเลยหรือคะ?''
''ส่วนใหญ่ครับ นอกจากเสากระโดง และไม้ที่ใช้ตกแต่ง
ภายในเรือบางส่วน''
เธอผงกศรีษะอีกครั้ง แกเร็ตเฝ้ามองเธอในขณะที่เธอเดิน
ไปตามลําเรือแฮปเปนสแตนซ์ ยามที่เธอก้าวห่างออกไป เขาไม่
อาจหักห้ามใจที่จะสังเกตรูปร่างและเส้นผมเหยียดตรงสีนํ้าตาล
เข้มของเธอที่ประลงมาเคลียบ่า แต่ไม่ใช่เพียงแค่รูปร่างหน้าตา
ของเธอเท่านั้นที่จับตาเขา ยังมีความมั่นใจแฝงอยู่ในท่วงท่า
เคลื่อนไหวของเธอด้วย เขารู้ได้ทันทีว่า เหมือนกับเธอรู้อย่างถูก
ต้องว่าผู้ชายกําลังคิดอะไรกับเธอเมื่อเธอยืนอยู่ใกล้ๆ พวกเขา
เขาสะบัดศรีษะเพื่อขับไล่ความคิดออกไป
''พวกเขาใช้เรือนี้สอดแนมพวกเยอรมันในสงครามโลกครั้ง
ที่สองจริงๆ รึคะ?'' เธอถามโดยหันหน้ามาทางเขา
เขาหัวเราะเบาๆ และพยายามอย่างที่สุดที่จะไม่คิดอะไร
''นั่นคือสิ่งที่เจ้าของเดิมบอกไว้ แต่ผมไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า เขา
พูดถึงมันเพื่อให้ขายได้ราคาสูงขึ้นน่ะ''
''เอาเถอะค่ะ แม้มันจะไม่จริง แต่มันก็ยังคงเป็นเรือที่งดงาม
อยู่ดี คุณใช้เวลาซ่อมแซมนานแค่ไหนคะ?''
''เกือบปีครับ''
เธอแอบมองห้องพักในเรือลอดผ่านทางช่องหน้าต่างกลม
ช่องหนึ่ง แต่มันมืดเกินกว่าที่จะมองเห็นภายในได้ชัด
''คุณใช้เรือลําไหนล่องเรือใบระหว่างที่คุณซ่อมแซมเรือ
แฮปเปนสแตนซ์คะ?''
''เราไม่ได้ล่องเรือใบเลยครับ ไมมีเวลามากพอ ถ้าไม่ทํา
งานในร้าน ก็สอนชั้นเรียนดํานํ้า แล้วก็พยายามซ่อมแซมเรือลํานี้
ให้พร้อมใช้งาน''
''คุณพบกับสภาวะที่ต้องปรับตัวปรับใจใหม่ในการล่องเรือ
ใบมั้ย?'' เธอถามพร้อมด้วยรอยยิ้ม และนับเป็นครั้งแรกที่แกเร็ต
รู้ตัวว่าเขากําลังสนุกกับการสนทนา
''แน่นอนครับ แต่ความรู้สึกทั้งหมดนั้นแทบจะหายไปทันที
ที่เราซ่อมเรือเสร็จแล้วนํามันออกทะเล''
อีกครั้งที่เธอได้ยินคําว่า ''เรา''
''ฉันก็แน่ใจว่ามันต้องเป็นเช่นนั้น''
หลังจากชื่นชมเรือต่อไปอีกชั่วครู่ เธอกลับมายืนอยู่ข้างเขา
ทั้งสองไม่ได้พูดคุยอะไรกันอยู่ครู่หนึ่ง แกเร็ตสงสัยว่าเธอรู้หรือไม่ว่า
เขากําลังใช้หางตาเฝ้าชําเลืองมองเธออยู่
''เอาละค่ะ'' เธอพูดขึ้นมาในที่สุดขณะที่ยืนกอดอก ''บาง
ทีฉันอาจรบกวนเวลาคุณมามากพอแล้ว''
''ไม่เป็นไรครับ'' เขาพูด และอีกครั้งที่เขารู้สึกว่ามีเหงื่อ
ออกที่หน้าผากเขา
''ผมชอบคุยเรื่องการล่องเรือใบ''
''ฉันก็ชอบเช่นกันค่ะ ดูเหมือนมันจะทําให้ฉันเพลิดเพลิน
เสมอ''
''คุณพูดเหมือนคุณยังไม่เคยล่องเรือใบมาก่อนเลย''
เธอยักไหล่ ''ยังไม่เคยค่ะ ฉันอยากไปมาตลอด แต่ไม่เคย
มีโอกาสเลยจริงๆ''
เธอมองหน้าเขาในขณะที่เธอพูด และเมื่อเขาและเธอสบ
ตากัน แกเร็ตรู้สึกว่าตัวเขาเอื้อมไปหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่ออกมา
เป็นครั้งที่สองภายในเวลาผ่านไปไม่กี่นาที ข้างนอกนี่ร้อนเป็นบ้า
เลย เขาใช้ผ้าเช็ดหน้าผาก และได้ยินคําพูดพลั้งออกมาจากปาก
เขาก่อนที่จะยั้งไว้ทัน
''ก็ถ้าคุณอยากไป ปกติผมจะนําเรือลํานี้ออกทะเลหลัง
เสร็จงานอยู่แล้ว ผมยินดีให้คุณนั่งเรือไปด้วยเย็นนี้ครับ''
เขาไม่แน่ใจจริงๆ ว่าทําไมเขาจึงพูดออกไปเช่นนั้น เขาคิด
ว่า บางทีถ้าเป็นเพียงในระยะสั้นแล้วมันก็คงเป็นแค่ความปราถนา
ที่จะมีเพื่อนหญิงมาตลอดระยะเวลาหลายปี หรือบางทีอาจมีบาง
อย่างเกี่ยวกับท่าทีที่เธอช้อนตามองเขาทุกครั้งที่คุยด้วย แต่ไม่ว่า
เหตุผลคืออะไรก็ตาม เขาก็เพิ่งชวนให้เธอไปกับเขา และเขาไม่อาจ
เปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้แล้ว
เธเรซ่าเองก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยเช่นกัน แต่เธอก็ตัดสินใจ
ตอบรับอย่างรวดเร็ว ถ้าจะว่าไปแล้ว นี่ก็คือเหตุผลที่เธอมายัง
เมืองวิลมิงตันนั่นเอง
''ฉันอยากไป'' เธอพูด ''กี่โมงคะ?''
เขาเหน็บผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่ไว้ที่เดิม ด้วยความรู้สึกยุ่งยาก
ใจเล็กน้อยในสิ่งที่เขาเพิ่งจะพูดออกไป ''หนึ่งทุ่มเป็นไงครับ?
ช่วงนั้นดวงอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า และเป็นเวลาอันแสนวิเศษที่จะ
ล่องเรืออกไป''
''หนึ่งทุ่มเป็นเวลาที่ยอดเยี่ยมสํหรับฉันเลยค่ะ ฉันจะนํา
อาหารบางอย่างติดไปกินด้วยกัน'' แกเร็ตรู้สึกแปลกใจที่เธอดู
ทั้งตื่นเต้นและพึงใจในการไปครั้งนี้
''คุณไม่ต้องนําอาหารไปก็ได้''
''ฉันรู้ค่ะ แต่มันเป็นสิ่งเล็กน้อยทีสุดที่ดิฉันสามารถทําได้
ที่จริงแล้วคุณไม่จําเป็นต้องอาสาพาฉันไปด้วยเลย เป็นแซนวิช
ได้มั้ยคะ?''
แกเร็ตรู้สึกต้องการช่วงห่างนิดหน่อยเพื่อหายใจ เขาจึงก้าว
ถอยออกมาจากเธอเล็กน้อย ''ได้ครับ นั่นก็ดีแล้ว ผมไม่ใช่คน
ช่างเลือกนักหรอกครับ''
''ตกลงค่ะ'' เธอพูดแล้วหยุดไปชั่วขณะ เธอย่อเข่าพักขา
ในขณะที่รอดูว่าเขาจะพูดเรื่องอื่นอีกหรือไม่ เมื่อเขาไม่ได้พูดอะไร
ต่อแล้ว เธอจึงขยับกระเป๋าสะพายบนบ่าเธอให้เข้าที่อย่างใจลอย
''ฉันเข้าใจว่าฉันจะได้พบคุณคืนนี้ ที่เรือลํานี้ ถูกมั้ยคะ?''
''ตรงนี้เลยครับ'' เขาพูดและรู้สึกถึงความเครียดในนํ้าเสียง
ที่เขาพูด เขากระแอมแล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย ''มันต้องสนุกแน่
คุณจะเพลิดเพลินไปกับมัน''
''ฉันก็แน่ใจเช่นนั้น แล้วพบกันนะคะ''
เธอหมุนตัวแล้วเดินลงไปยังท่าเรือ ผมของเธอปลิวไสว
ไปตามสายลม ขณะที่เธอกําลังเดินจากไป แกเร็ตจึงรู้ว่าเขาลืม
บางอย่างไปถนัดใจ
''เฮ้!'' เขาตะโกน
เธอหยุดเดินแล้วหันหน้ามามองเขาโดยใช้มือป้องตากัน
แดดไว้ ''มีอะไรคะ?''
เธอยังคงดูสวยแม้มองจากระยะไกล
เขาก้าวเดินไปยังทิศที่เธอยืนอยู่สองสามก้าว
''ผมลืมถามว่าคุณชื่ออะไร?''
''ฉันชื่อเธเรซ่าค่ะ เธเรซ่า ออสบอร์น''
''ผมชื่อแกเร็ต เบล็ก''
''ตกลงค่ะแกเร็ต ฉันจะมาหาคุณตอนหนึ่งทุ่ม''
พร้อมกันนั้นเธอก็หมุนตัวแล้วเดินจากไปอย่างฉับไว แก
เร็ตเฝ้ามองร่างของเธอที่กําลังเคลื่อนจากไปและพยายามหาเหตุ
ผลมาอธิบายความรู้สึกขัดแย้งในใจเขา แม้ส่วนหนึ่งของเขาจะ
ตื่นเต้นกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่อีกส่วนหนึ่งของเขากลับรู้สึกว่าเรื่อง
ทั้งหมดนั้นมีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง เขารู้ดีว่าไม่มีเหตุผลใดๆ
เลยที่จะรู้สึกผิด แต่ความรู้สึกดังกล่าวก็อยู่ตรงนั้นชัดเจน และ
เขาปราถนาให้มีอะไรบางอย่างที่ทําให้เขาจะจัดการกับมันได้
แต่ไม่มีแน่นอน ไม่มีวันมี</span></span>
ภาพประจำตัวสมาชิก
แมงป่อง
แม่ไข่หวาน พ่อไข่เค็ม
 
โพสต์: 1468
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ พ.ค. 05, 2007 10:25 pm

โพสต์โดย แมงป่อง » อังคาร มิ.ย. 24, 2008 8:19 am

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'><span style='color:green'><span style='font-size:14pt;line-height:100%'>บทที่ 6</span>

<span style='color:purple'>เวลาล่วงผ่านชั่วโมงกินอาหารเย็นไปแล้ว และเคลื่อน
ต่อไปยังเลขเจ็ด แต่สําหรับแกเร็ต เบล็ก เวลาหยุดเคลื่อนที่มา
3 ปีแล้ว ตั้งแต่แคธรีนย่างก้าวพ้นขอบถนนออกไปและชายสูงวัย
ที่ไม่สามารถควบคุมรถไว้ได้ขับรถชนเธอเสียชีวิต และมันได้
เปลี่ยนแปลงชีวิตของคนซึ่งแยกออกมาจากสองครอบครัวเพื่อใช้
ชีวิตร่วมกันให้พรากจากกันไปตลอดกาล หลายสัปดาห์ต่อมา
เขาล้มเลิกแผนการแก้แค้นอันเกิดจากความโกรธที่มีต่อคนขับรถ
ที่สุดแล้วเขาไม่ได้ทําให้มันเสร็จสม นั่นเพียงเพราะว่าความเศร้า
โศกเสียใจที่เขามีนั้นทําให้เขาไม่อาจกระทํากาลใดๆ ได้ทั้งสิ้น เขา
ไม่อาจหลับไหลได้เกินกว่า 3 ชั่วโมงในหนึ่งคืน เขาเฝ้าแต่ร้องไห้
ครํ่าครวญทุกครั้งที่เห็นเสื้อผ้าของเธอในตู้ อาหารซึ่งกินเพียง
กาแฟและขนมปังกรอบริตซ์ทําให้นํ้าหนักตัวเขาลดลงเกือบ 20
ปอนด์ หนึ่งเดือนต่อมา เขาเริ่มสูบบุหรี่เป็นครั้งแรกในชีวิตและ
หันมาดื่มเหล้าในยามคํ่าคืน เมื่อความเจ็บปวดซึ่งเขาต้องเผชิญ
ในขณะที่ไม่มึนเมามีมากมายเกินกว่าที่เขาจะทานทนได้ พ่อของ
เขาช่วยดูแลธุรกิจให้ชั่วคราวในยามที่แกเร็ตนั่งจมอยู่กับจินตนา
การถึงโลกที่มีอยู่โดยปราศจากเธออย่างเงียบงันที่ระเบียงหลังบ้าน
โดยไม่มีทั้งกําลังใจและความอาลัยในชีวิตอีกต่อไป บางครั้งขณะ
ที่เขานั่งอยู่ที่นั่น เขาวาดหวังให้อากาศที่ชื้นและอบอ้าวจากไอ
ทะเลม้วนกลืนเขาไปทั้งร่าง เพื่อเขาจะไม่ต้องเผชิญกับอนาคต
อันเดียวดายอีกต่อไป
สิ่งที่ทําให้เรื่องยากยิ่งขึ้นคือ ดูเหมือนว่าเขาจะจดจําช่วง
เวลาซึ่งไม่มีเธออยู่ใกล้ๆ ไม่ได้เลย เขาและเธอใช้เวลาค่อนชีวิต
รู้จักกันมา ทั้งสองเข้าเรียนโรงเรียนเดียวกันมาตลอดวัยเยาว์ เขา
และเธอเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดต่อกันในชั้นประถม 3 และเขามอบ
การ์ดวันวาเลนไทน์แก่เธอสองใบ แต่แล้วจากนั้นเขาและเธอก็
ขาดการติดต่อกันไปช่วงหนึ่ง และได้ใช้ชีวิตร่วมกันเพียงแค่ขณะ
ที่เขาและเธอเรียนอยู่ชั้นประถม 1 และเลื่อนชั้นสูงต่อไปเรื่อยๆ
แคธรีนเป็นคนผอมบางเก้งก้างและตัวเล็กที่สุดในชั้นเสมอ แม้ว่า
แกเร็ตจะมีเธอเป็นคนพิเศษในหัวใจเสมอ แต่เขาก็ไม่เคยสังเกตว่า
เธอเริ่มเปลี่ยนเป็นหญิงสาวที่ดึงดูดใจขึ้นเรื่อยๆ เขาและเธอไม่
เคยไปงานลีลาศของนักเรียนในโรงเรียนหรือแม้แต่ดูหนังด้วยกัน
แต่หลังจาก 4 ปีที่เรียนอยู่ที่เมืองแชปเพลฮิล*(*Chapel Hill-เมือง
อันเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลน่า)
อันเป็นที่ซึ่งเขาเรียน
วิชาด้านชีววิทยาทางทะเล เขาพบเธอโดยบังเอิญที่หาดไรส์วิล
และก็รู้ตัวในทันทีทันใดนั้นว่าตลอดเวลาเขาโง่เพียงใด เธอไม่ใช่
เด็กผู้หญิงผอมเก้งก้างที่เขาเคยจดจําอีกต่อไปแล้ว โดยรวมแล้ว
เธอเป็นผู้หญิงสวย มีส่วนโค้งส่วนเว้าอันแสนวิเศษที่ทําให้ผู้ชาย
และผู้หญิงชอบหันไปมองเหมือนๆ กันทุกครั้งที่เธอเดินผ่าน ผมสี
ทอง ดวงตาเต็มไปด้วยความลึกลับอันยากจะหยั่งถึงได้ ในที่สุด
เขาก็หุบปากที่อ้าค้างลง แล้วถามว่าเธอสบายดีหรือ เขาและเธอ
เริ่มต้นสร้างความสัมพันธ์ซึ่งนําไปสู่การแต่งงานในที่สุด และใช้
ชีวิตร่วมกันอย่างแสนสุขมาตลอด 6 ปี
ในคืนวันแต่งงานของเขาและเธอ เมื่อทั้งสองอยู่กันตาม
ลําพังในห้องพักโรงแรมที่มีเพียงแสงสว่างจากเทียนไขในห้อง เธอ
ยื่นการ์ดวาเลนไทน์ 2 ใบ ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยมอบให้เธอ แล้วหัว
เราะเสียงดังเมื่อเห็นสีหน้าเขาตอนที่รู้ว่ามันคืออะไร ''แน่นอน
ฉันเก็บมันไว้'' เธอกระซิบพร้อมกับโอบแขนไว้รอบตัวเขา ''เป็น
ครั้งแรกที่ฉันรักใครสักคนจริงๆ รักก็คือรัก ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไร
และฉันก็รู้ดีว่า ถ้าฉันให้เวลาคุณมากพอ คุณจะต้องกลับมาหาฉัน''
เมื่อใดแกเร็ตรู้สึกคิดถึงเธอ เขาจะจดจําลักษณะที่เขา
มองเห็นเธอในคํ่าคืนนั้น หรือไม่ก็ภาพที่เขาเห็นเธอครั้งสุดท้าย
จริงๆ เมื่อเขาและเธอล่องเรือไปด้วยกัน แม้ถึงเวลานี้ เขายังจดจํา
ภาพในเย็นวันนั้นได้อย่างกระจ่างชัด ผมสีทองของเธอปลิวยุ่ง
เหยิงท่ามกลางสายลม ใบหน้าเต็มไปด้วยความหฤหรรษ์ขณะที่
เธอหัวเราะเสียงดัง

''รู้สึกถึงละอองนํ้ากระเซ็นเลย! '' เธอตะโกนอย่างร่าเริง
ขณะยืนอยู่ที่หัวเรือ จับเชือกไว้แล้วอเนกายยื่นออกไปโต้ลม ภาพ
ด้านข้างของเธอตัดกับแนวขอบฟ้าอันเจิดจรัส
''ระวัง!'' แกเร็ตตะโกนกลับไปขณะจับพังงาคัดท้ายเรือ*(*หมายถึง
พวงมาลัยคัดท้ายเรือที่ต่อเชื่อมกับหางเสือเพื่อบังคับทิศทางเรือ
เป็นคําที่ใช้ในแวดวงนักเดินเรือ) ไว้แน่น
เธอเอนตัวออกไปมากยิ่งขึ้น แล้วชําเลืองกลับมามองแกเร็ต
ด้วยรอยยิ้มหยอกล้อ
''ผมไม่ได้พูดเล่นนะ!'' เขาตะโกนอีกครั้ง ในชั่วขณะ ดู
เหมือนว่าเธอเริ่มอ่อนแรงลงที่จะจับราวยึดพยุงตัวไว้ แกเร็ตก้าว
ออกมาจากพังงาคัดท้ายเรืออย่างรวดเร็ว แต่ทว่าเขากลับได้ยิน
เสียงหัวเราะของเธอพร้อมกับที่เธอเหยียดตัวขั้นมา เธอก้าวย่าง
อย่างแผ่วเบาตรงกลับมายังพังงาคัดท้ายเรืออย่างว่าง่ายแล้วประ
คองกอดเขาไว้ เธอจูบใบหูเขาแล้วกระซิบหยอกล้อว่า
''ฉันทําให้คุณตกใจเหรอ?''
''คุณทําให้ผมตกใจทุกครั้งเวลาที่คุณทําแบบนั้นน่ะ''
''อย่าทําเสียงดุสิ'' เธอยั่วเย้า ''ไม่ใช่ในขณะนี้ที่ฉันต้อง
การให้คุณเป็นของฉันคนเดียว''
''ผมก้เป็นคนเดียวของคุณคนเดียวทุกคืนอยู่แล้วนี่''
''ไม่ใช่แบบนี้'' เธอพูดพร้อมกับจูบเขาอีกครั้ง และยิ้มหลัง
จากกวาดสายตาไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว
''ทําไมเราไม่ลดใบเรือลงแล้วทอดสมอก่อนล่ะ?''
''เดี๋ยวนี้เลยเหรอ''
เธอผงกศรีษะ ''ก็ใช่น่ะสิ นอกจากคุณอยากล่องเรือไป
ตลอดคืน''</span></span></span>
ภาพประจำตัวสมาชิก
แมงป่อง
แม่ไข่หวาน พ่อไข่เค็ม
 
โพสต์: 1468
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ พ.ค. 05, 2007 10:25 pm

โพสต์โดย แมงป่อง » อังคาร มิ.ย. 24, 2008 4:08 pm

<span style='color:blue'><span style='font-size:14pt;line-height:100%'>ด้วยสายตาบอกเป็นนัยโดยไม่ฝืนความรู้สึกใดไว้ เธอเปิด
ประตูห้องพักบนเรือแล้วหายลับตาไป สี่นาทีต่อมาเมื่อเรือทอด
สมอจอดอย่างเร่งรีบแล้ว เขาจึงเปิดประตูตามเธอเข้าไป

แกเร็ตถอนหายใจแรงๆ เพื่อให้ความทรงจําที่เป็นดั่งควันไฟ
จางหายไปจากห้วงคํานึง แม้เขาจดจําเหตุการณืในเย็นวันนั้นได้
แต่เขารู้สึกว่า เมื่อเวลาหยุดหมุนผ่านไป มันก็เริ่มยากขึ้นเรื่อยๆ ที่
จะจินตนาการถึงรูปร่างหน้าตาเธอได้อย่างสมบรูณ์ ดวงหน้าของ
เธอที่ล่องลอยอยู่ตรงหน้าเขาเริ่มเลือนหายไปทีละน้อย และ
แม้เขาจะรู้ดีว่าการลืมช่วยระงับความเจ็บปวดลง แต่สิ่งที่เขาต้อง
การเป็นที่สุดคือการได้เห็นเธออีกครั้ง ในช่วง 3 ปีมานี้เขาพลิกดู
อัลบั้มรูปภาพเพียงครั้งเดียวเท่านั้น และนั่นทําให้เขาร้าวรานใจ
มาก จนสาบานไว้ว่า นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่จะทําเช่นนี้อีก เดี๋ยวนี้
เขาเห็นเธอได้ชัดเจนเฉพาะตอนกลางคืนเท่านั้นหลังจากที่เขางีบ
หลับไป เขาชอบช่วงเวลาที่ฝันถึงเธอ เพราะราวกับว่าเธอยังมี
ชีวิตยู่ เธอจะพูดคุยและเคลื่อนไหวไปมา และเขาจะกอดเธอไว้
ในวงแขน ชั่วขณะนั้นดูเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างในโลกกลับเป็นปกติ
ขึ้นมาโดยฉับพลัน กระนั้น ความฝันดังกล่าวก็มีสิ่งที่ต้องแลกไป
ด้วยเช่นกัน เพราะเมื่อเขาตื่นขึ้นมาเขาจะรู้สึกอ่อนล้าและเศร้าซึม
อยู่เสมอ บางครั้งเขาไปที่ร้านแล้วขังตัวเองอยู่ในสํานักงานตลอด
ช่วงเช้าเพื่อเขาจะได้ไม่ต้องพูดคุยกับใคร
พ่อเขาพยายามช่วยอย่างสุดความสามารถ เขาเองก็เช่นกัน
กันที่สูญเสียภรรยาไป ดั้งนั้น เขาจึงรู้ดีว่าลูกชายของเขาต้องผ่าน
พบความรู้สึกเช่นใด แกเร็ตแวะไปเยี่ยมเขาอย่างน้อยที่สุดสัปดาห์
ละครั้ง และได้รับความสุขจากมิตรภาพที่พ่อเขามีให้เสมอ เขา
เป็นคนหนึ่งที่แบ่งปันความเข้าใจอย่างแท้จริงให้กับแกเร็ต เป็น
ความรู้สึกที่มีให้กันและกันจากผู้สูงวัย ปีที่แล้วพ่อบอกกับเขาว่า
เขาควรเริ่มมีเดตกับเพศตรงข้ามอีกครั้งได้แล้ว
''มันไม่เหมาะเลยที่แกจะอยู่อย่างโดเดี่ยวตลอดไป'' เขา
กล่าว ''มันดูแทบจะเหมือนกับว่าแกถอดใจเรื่องนี้แล้ว'' แกเร็ตรู้
ว่าคําพูดนั้นเป็นจริงอยู่ในระดับหนึ่ง แต่ความจริงง่ายๆ ก็คือ เขา
ไมปราถนาที่จะหาใครอื่นอีกเลย เขาไม่ได้ร่วมรักกับผู้หญิงคนใด
เลยตั้งแต่แคธรีนตาย และแย่ยิ่งกว่านั้นคือ เขารู้สึกไร้ความต้อง
การในเรื่องแบบนั้นด้วย เหมือนกับว่าส่วนหนึ่งภายในตัวเขาได้
ตายไปแล้ว เมื่อแกเร็ตถามพ่อว่า เหตุใดเขาควรทําตามคําแนะ
นําดังกล่าวนั้น ในเมื่อตัวพ่อเขาก็ไม่เคยแต่งงานใหม่ พ่อเขาก็แค่
เบือนหน้าหนี แต่แล้วพ่อเขาก็พูดถึงเรื่องอื่นที่เฝ้าหลอกหลอนอยู่
ในใจพวกเขาทั้งสองคน ซึ่งเป็นเรื่องที่พ่อเขาไม่อยากให้ตัวเองพูด
ถึงมันเลยเมื่อคิดย้อนกลับไปในเวลาต่อมา
''แกคิดจริงๆ หรือว่ามันเป็นไปได้สําหรับพ่อที่จะหาคนอื่น
ซึ่งดีพอที่จะมาแทนที่แม่แกได้?''
ในที่สุดแกเร็ตก็กลับไปที่ร้าน และเริ่มทํางานอีกครั้ง เขา
พยายามทําดีที่สุดเพื่อดําเนินชีวิตต่อไป เขาอยู่ที่ร้านจนดึกดื่น
ที่สุดเท่าที่จะทําได้ จัดแฟ้มงานบ้าง จัดสํานักงานใหม่บ้าง เพียง
เพราะว่ามันทําให้ความเจ็บปวดลดน้อยกว่าการกลับไปอยู่บ้าน
เขารู้ว่าถ้าข้องนอกมืดพอ เมื่อเขากลับถึงบ้าน แล้วเปิดไปเพียง
สองสามดวง เขาจะไม่สังงเกตเห็นข้าวของเครื่องใช้ของเธอเหมือน
ก่อน รวมทั้งความรู้สึกว่ามีเธออยู่ใกล้ๆ ก็ไม่รุนแรงเช่นเดิม เขา
เริ่มเคยชินกับการใช้ชีวิตคนเดียวอีกครั้ง ทําอาหาร ทําความ
สะอาดบ้าน และซักเสื้อผ้าเอง เขาทําแม้แต่ดูแลสวนเช่นเดียว
กับที่เธอเคยทํา แม้ว่าเขาจะไม่เพลิดเพลินไปกับมันมากเท่าเธอ
ก็ตาม
เขาคิดว่าเขาเริ่มรู้สึกดีขึ้น แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องการเก็บข้าว
ของเครื่องใช้ของแคธรีน เขาก็ไม่มีกะจิตกะใจที่จะทํา ในที่สุด
พ่อเขาต้องลงมือทําเรื่องนี้ด้วยมือของเขาเอง หลังจากใช้เวลา
ดํานํ้าในวันสุดสัปดาห์แล้ว แกเร็ตก็กลับมาบ้านเพื่อเปิดกล้องเก็บ
ข้าวของเครื่องใช้ของเธอออกดู เมื่อไร้ซึ่งข้าวของต่างๆของเธอ
แล้ว บ้านก็มีแต่ความว่างเปล่า เขาจึงมองไม่เห็นเหตุผลใดๆ ที่จะ
อยู่ในบ้านหลังนี้อีกต่อไป เขาขายบ้านไปภายในหนึ่งเดือน แล้ว
ย้ายมาอยู่บ้านหลังเล็กกว่าที่หาดแคโรไลน่า โดยคิดว่าการจาก
บ้านหลังนั้นจะทําให้เขาดําเนินชีวิตต่อไปข้างหน้าได้ในที่สุด แล้ว
เขาก็ทําได้ในระดับหนึ่งมาตลอด 3 ปีจนถึงปัจจุบัน
พ่อเขาไม่ได้พบข้าวของทุกอย่างของแคธรีนตอนที่เก็บของ
ของเธอ ภายในกล่องเล็กๆ ซึ่งวางอยู่ปลายโต๊ะ แกเร็ตยังคงเก็บ
รักษาของสองสามอย่างซึ่งเขาไม่อาจทนพรากจากมันได้ไว้ นั่นคือ
การ์ดวันวาเลนไทน์ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยให้เธอ แหวนแต่งงานของเธอ
และสิ่งอื่นที่คนทั่วไปอาจไม่เข้าใจ ในยามดึกดื่นเขาชอบถือสิ่ง
เหล่านั้นไว้ในมือ แม้ว่าบางครั้งพ่อเขาตั้งข้อสังเกตว่าดูเหมือน
เขาจะทําได้ดีขึ้นแล้วก็ตาม แต่เขาก็จะอยู่ที่นั่น แล้วคิดว่า...ไม่
เขาไม่ได้ดีขึ้นเลย สําหรับเขาแล้ว ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไป
แกเร็ต เบล็กไปยังท่าเรือโดยเผื่อเวลาไว้สองสามนาทีเพื่อ
เตรียมมเรือแฮปเปนสแตนซ์ให้พร้อม เขาเปิดผ้าคลุมเรือออก ไข
กุญแจห้องพักบนเรือ และตรวจสอบความเรียบร้อยทุกอย่าง
พ่อเขาโทรศัพท์มาพอดีกัยทีเขากําลังก้าวออกจากประตู
เพื่อไปท่าเรือ แกเร็ตหวนคืดถึงคําสนทนากับพ่อเขา
''แกจะมากินอาหารเย็นด้วย?'' เขาถาม
แกเร็ตตอบว่าเขาไปไม่ได้ ''ผมกําลังจะไปล่องเรือใบกับ
ใครบางคนคืนนี้''
พ่อเขาเงียบไปพักหนึ่ง แล้วเอ่ยว่า ''กับผู้หญิงงั้นรึ?''
แกเร็ตอธิบายคร่าวๆ ว่าเขาและเธเรซ่าพบกันได้อย่างไร
''เสียงของแกฟังดูตื่นเต้นนิดหน่อยนะสําหรับการออกเดต''
พ่อเขาแสดงความเห็น
''ไม่เลย ผมไม่ได้ตื่นเต้น แล้วก็ไม่ใช่การออกเดตด้วย ก็
อย่างที่บอกนั่นแหละ เราแค่จะไปล่องเรือใบกัน เธอบอกว่าเธอ
ไม่เคยล่องเรือใบมาก่อน''
''เธอสวยมั้ย?''
''แล้วนั่นเกี่ยวอะไรกันด้วยล่ะ?''
''มันก็ไม่เกี่ยวหรอก แต่พ่อฟังแล้วมันเหมือนการออกเดต
อยู่ดี''
''ไม่ใช่ออกเดตซะหน่อย''
''ก็ได้ถ้าแกพูอย่างนั้น''


แกเร็ตเห็นเธอเดินเข้ามาใกล้ท่าเรือหลังหนึ่งทุ่มเล็ก
น้อย เธอสวมกางเกงขาสั้นและเสื้อเชิ้ตแขนกุดสีแดง มือข้างหนึ่ง
หิ้วตระกร้าปิกนิกเล็กๆ และมืออีกข้างถือเสื้อยืดแขนยาวกับเสื้อ
แจ๊กเก็ตบางๆ เธอไม่ได้ดูตื่นเต้นเหมือนกับที่เขารู้สึกอยู่เลย รวม
ทั้งสีหน้าของเธอก็ไม่ได้ซ่อนเร้นสิ่งที่เธอคิดในขณะที่เธอเดิน
เข้ามาใกล้เขาด้วย เมื่อเธอโบกมือให้ เขารู้สึกยอกแสยงใจด้วย
ความรู้สึกผิดอันคุ้นเคยขึ้นมาโดยฉับพลัน เขาโบกมือตอบกลับ
ไปอย่างรวดเร็วก่อนที่จะแกะเชือกผูกเรือเสร็จ เขาบ่นพรึมพํากับ
ตัวเองและพยายามอย่างที่สุดที่จะไม่คิดอะไรเมื่อเธอมาถึงเรือ</span></span>
ภาพประจำตัวสมาชิก
แมงป่อง
แม่ไข่หวาน พ่อไข่เค็ม
 
โพสต์: 1468
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ พ.ค. 05, 2007 10:25 pm

โพสต์โดย แมงป่อง » อังคาร มิ.ย. 24, 2008 10:14 pm

<span style='color:orange'><span style='font-size:14pt;line-height:100%'> ''สวัสดีค่ะ'' เธอทักทายสบายๆ ''ฉันหวังว่าคุณไม่ได้รอ
นานนะคะ''
เขาถอดถุงมือที่สวมอยู่ออกแล้วพูดว่า ''โอ้ สวสัดีครับ ไม่
ผมไม่ได้รอนานเลย แค่ออกมาที่นี่เร็วไปหน่อย เพื่อเตรียมเรือให้
พร้อม''
''คุณจัดการทุกอย่างที่ต้องทําเสร็จแล้วรึคะ?''
เขากวาดตาไปรอบๆ เพื่อความแน่ใจ ''ครับ ผมคิดว่า
อย่างนั้นนะ ให้ผมช่วยคุณขึ้นมาบนเรือมั้ย?''
เขาวางถุงมือไว้ข้างๆ ตัวแล้วเหยียดแขนออกไป เธเรซ่า
ส่งข้าวของเธอให้เขารับมาจัดวางไว้บนที่นั่งตัวหนึ่งซึ่งตั้งเรียงยาว
ไปตามดาดฟ้าเรือ เมื่อเขาจับมือเธอเพื่อช่วยดึงขึ้นเรือ เธอรู้สึกได้
ถึงฝ่ามืออันหยาบกร้านของเขา หลังจากที่เธอขึ้นเรือโดยปลอดภัย
แล้ว เขาทําท่าจะตรงไปที่พังงาคัดท้ายเรือ เธอจึงก้าวถอยออกมา
เล็กน้อย
''คุณพร้อมออกเดินทางรึยัง?''
''เมื่อไหร่ก็ได้ที่คุณพร้อม''
''งั้นนั่งลงแล้วไปกันเลย ผมกําลังจะพาเราออกสู่ทะเล
คุณอยากดื่มอะไรก่อนจะออกเดินทางมั้ย? ผมมีนํ้าอัดลมใน
ตู้เย็น''
เธอสั่นศรีษะ ''ไม่ค่ะ ขอบคุณ ตอนนี้ฉันสบายดีอยู่แล้ว''
เธอมองไปรอบๆ เรือก่อนที่จะหาที่นั่งตรงบริเวณมุมเรือ
เธอเฝ้ามองขณะที่เขาบิดกุญแจ เสียงเครื่องยนต์สตาร์ตดังหึ่มๆ
จากนั้นเขาก็ก้าวออกไปจากพังงาคัดท้ายเรือแล้วเกาะเชือกสองเส้น
ที่ยึดเรือไว้ออก เรือแฮปเปนสแตนซ์ค่อยๆ ถอยลําเคลื่อนออกจาก
ช่องแนวจอดช้าๆ เธเรซ่าเอ่ยขึ้นด้วยความแปลกใจนิดหน่อยว่า
''ฉันไม่ยักรู้ว่ามีเครื่องยนต์ด้วย''
เขาเหลียวหลังกลับมาตอบเสียงดังเพื่อให้เธอได้ยิน ''มัน
เป็นเครื่องยนต์เล็กๆ น่ะครับ ใช้เพียงแค่ช่วยให้เรือมีกําลังพอที่จะ
พาเราเข้าออกจากแนวจอดเทียบเรือเท่านั้นเอง เรานําเครื่องยนต์
ใหม่มาใส่ ตอนที่เราทําการดัดแปลงเรือขนาดใหญ่''
เรือแฮปเปนสแตนซ์พ้นออกจากแนวจอดเทียบเรือและท่า
เรือ เมื่อเรือแล่นออกมาอย่างปลอดภัยไปในทางออกสู่ทะเลเปิด
ตามช่องทางเดินเรือ Intracoastal Waterway* (*ระบบเครื่อข่าย
ช่องทางเดินเรือที่สร้างขึ้นมาร่วมกับช่องทางเดินเรือที่มีอยู่เองตาม
ธรรมชาติและคลองต่างๆ ตลอดแนวชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก
ของสหรัฐอเมริกา โดยมีที่จอดเรือให้กับเรือพาณิชย์และเรือท่องเที่ยว
แผ่ขยายจากชายฝั่งตะวันออกไปจนถึงตอนใต้ของประเทศ ทั้งนี้ Atlan
tic Intracoastal Waterway ถือเป็นส่วนหนึ่งในระบบเครือข่ายดังกล่าว
ด้วย) แล้วแกเร็ตจึงหันเรือ
รับลมและดับเครื่องยนต์ หลังจากเขาสวมถุงมือแล้ว เขาก็กาง
ใบเรือขึ้นอย่างรวดเร็ว เรือแฮปเปนสแตนซ์เอียงไปตามแรงลม
และด้วยการเคลื่อนลําไปอย่างรวดเร็วทําให้ตัวแกเร็ตเอนไปชิดกับ
เธเรซ่า
''ระวังศรีษะครับ ไม้ขึงใบเรือกําลังจะแกว่งอยู่เหนือคุณ''
การขยับร่างกายสองสามครั้งต่อจากนั้นเริ่มต้องใช้แรงมาก
ขึ้น เธอก้มศรีษะลงแล้วเฝ้าดูว่าทั้งหมดจะเกิดขึ้นเหมือนกับที่เขา
พูดหรือเปล่า ไม้ขึงใบเรือกวัดแกว่งอยู่เหนือเธอในขณะที่นําพา
ใบเรือซึ่งขึงติดกับมันจับหาทิศทางลม เมื่อใบเรืออยู่ในตําแหน่ง
ถูกต้องแล้วเขาจึงใช้เชือกผูกยึดมันให้แน่นอีกครั้ง เขากลับไป
ยังพังงาคัดท้ายเรือก่อนที่เธอจะทันได้กระพริบตาเพื่อหมุยปรับ
ทิศทาง และเหลียวหลังไปมองใบเรือ เหมือนกับให้แน่ใจว่าเขา
ได้ทําทุกอย่างถูกต้องแล้ว ทั้งหมดที่เขาทําใช้เวลาน้อยกว่า 30
วินาที
''ฉันไม่รู้มาก่อนเลยว่าคุณต้องทําทุกอย่างรวดเร็วขนาดนั้น
ฉันคิดว่าการล่องเรือใบเป็นกีฬาที่ไม่ต้องรีบร้อน''
เขาเหลียวหลังมองอีกครั้ง แคธรีนเคยนั่งอยู่ในตําแหน่ง
เดียวกับเธอ และด้วยเงาอันเกิดจากดวงอาทิตย์ที่กําลังลับขอบ
ฟ้าซึ่งกระจายไปทั่วบริเวณ ทําให้มีชั่ววูบหนึ่งที่เขาคิดว่าภาพที่เห็น
คือแคธรีน เขาพยายามสลัดความคิดนั้นทิ้งไป แล้วกระแอม
''ก็เป็นอย่างที่คุณว่านั่นแหละครับ เฉพาะเมื่อคุณออกสู่
ทะเลโดยที่ยังไม่มีเรือลําอื่นอยู่รอบๆ แต่ขณะนี้เราอยู่ในเส้นทาง
สัญจรทางทะเลภายในประเทศ เราจึงต้องทําให้ดีที่สุด เพื่อนําเรือ
ออกไปให้พ้นเส้นทางเรือลําอื่น''
เขาจับพังงาคัดท้ายเรือไว้นิ่งสนิท เธเรซ่ารู้สึกว่าเรือแฮป
เปนสแตนซ์ค่อยๆ เร่งความเร็วขึ้น เธอลุกจากที่นั่งและเริ่ม
เดินกลับมาหาแกเร็ต แล้วหยุดอยู่ข้างๆ เขา สายลมพัดผ่านมา
แม้ว่าเธอจะรู้สึกถึงลมซึ่งพัดมาปะทะใบหน้า แต่ก็ดูเหมือนมันไม่
แรงพอที่จะทําให้เรือกางใบได้เต็มที่
''เอาละ เราจับทางลมได้แล้ว'' เขาพูดพร้อมกับ
รอยยิ้มที่ผ่อนคลาย ขณะที่เขาชําเลืองดูเธอ ''เราน่าจะล่องเรือไป
ได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนเส้นทาง ถ้าลมไม่เปลี่ยนทิศระหว่างเดินทาง''
เรือพาเขาและเธอเคลื่อนตรงไปยังอ่าวเล็กๆ เธอนิ่งเงียบ
ขณะยืนชิดกับเขา เพราะเธอรู้ว่าเขากําลังจดจ่ออยู่กับสิ่งที่เขาทํา
เธอเฝ้ามองเขาด้วยหางตา มืออันแข็งแกร่งของเขาจับพังงาคัด
ท้ายเรือไว้ ขาอันยาวของเขาสลับข้างรับนํ้าหนักตัวขณะที่เรือเอียง
ไปมาตามแรงลม
การสนทนาเงียบสงบลงชั่วขณะ เธเรซ่ามองไปรอบๆ เรือ
ลํานี้มี 2 ระดับเช่นเดียวกับเรือใบส่วนใหญ่ คือด้านนอกเป็นดาด
ฟ้าเรือซึ่งเขาและเธอกําลังยืนอยู่ และดาดฟ้าเรือส่วนหน้าสูงกว่า
ส่วนล่างประมาณ 4 ฟุต ซึ่งยาวเหยียดตรงไปด้านหน้าเรือ นั่นคือ
ส่วนที่ตั้งของห้องพักในเรือ มีหน้าต่างเล็กๆ 2 ช่อง ซึ่งปรากฏชั้น
เกลือบางๆ เคลือบอยู่ ทําให้มองแทบไม่เห็นภายในห้อง ประตู
บานเล็กๆ นําไปสู่ห้องพักบนเรือ เตี้ยจนคนที่เดินเข้าไปต้องก้ม
ศรีษะเพื่อกันไม่ให้ชนขอบประตู
เธอสงสัยว่าแกเร็ตอายุเท่าไหร่เมื่อเธอหันกลับมามองเขา
บางทีเขาอาจมีอายุประมาณ 30 ปี เธอไม่อาจจะระบุให้ชัดเจน
ได้มากไปกว่านั้น การมองเขาใกล้ๆ ไม่ช่วยบอกอายุจริงๆ ได้เลย
ด้วยเหตุที่ใบหน้าของเขาโทรมเล็กน้อย เนื่องจากถูกทําลายด้วย
สภาพอากาศซึ่งทําให้ดูแก่เกินกว่าอายุจริง
เธอคิดอีกครั้งว่า เขาไม่ใช่ผู้ชายหล่อเหลาทีสุดเท่าที่เธอเคย </span></span>
ภาพประจำตัวสมาชิก
แมงป่อง
แม่ไข่หวาน พ่อไข่เค็ม
 
โพสต์: 1468
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ พ.ค. 05, 2007 10:25 pm

โพสต์โดย แมงป่อง » พุธ มิ.ย. 25, 2008 10:11 am

<span style='color:purple'><span style='font-size:14pt;line-height:100%'>เห็น แต่มีบางอย่างที่ทําให้เธอรู้สึกจับใจในตัวเขา บางอย่างที่ไม่
อาจบรรยายออกมาเป็นคําพูดได้
ก่อนหน้านั้น เมื่อเธอพูดโทรศัพท์กับเดียนน่า เธอพยายาม
บรรยายรูปร่างหน้าตาของเขา แต่เนื่องจากเขาดูไม่คล้ายผู้ชาย
ส่วนใหญ่ที่เธอรู้จักในบอสตันจึงอธิบายได้อย่างยากเย็น เธอบอก
เดียนน่าว่า เขามีอายุพอๆ กับเธอ หล่อเหลาในแบบของเขาเอง
และแข็งแรง แต่ดูเป็นธรรมชาติ ราวกับความแข็งแกร่งของเขาเป็น
แค่ผลจากการใช้ชีวิตในแบบที่เขาเลือก นั่นคือคําบรรยายเกือบ
ใกล้เคียงที่สุดเท่าที่เธอนึกได้ในขณะนั้น แต่หลังจากที่เห็นเขา
ใกล้ๆอีกครั้ง เธอก็คิดว่าเธอไม่ได้พูดมากเกินจริงเลย
เดียนน่าตื่นเต้นเมื่อเธเรซ่าบอกเธอเรื่องการไปล่องเรือใบใน
เวลาต่อมาของเย็นวันนั้น แต่เธเรซ่ากลับต้องพบกับช่วงเวลาแห่ง
ความเคลือบแคลงใจขึ้นมาทันทีทันใด เธอกังวลถึงการอยู่ตาม
ลําพังกับคนแปลกหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเรือล่องออกไป
กลางทะเล แต่เธอก็ปลอบใจตัวเองว่า ก็เหมือนกับการออกเดต
ครั้งอื่นๆ ทุกๆครั้งแหละ อย่าทําให้มันเป็นใหญ่โตเลย อย่างไร
ก็ตาม เมื่อถึงเวลาที่เธอต้องมุ่งหน้าไปยังท่าเรือ เธอเกือบจะไม่ไป
แต่ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจว่า มันเป็นอะไรบางอย่างที่เธอต้องทํา
ไม่ใช่เพียงเพื่อตัวเธอเป็นหลักเท่านั้น แต่เป็นเพราะความเสีย
ใจที่เดียนน่าจะมีต่อเธอด้วยหากเธอไม่ไป
ในขณะที่ทั้งสองเข้าไปใกล้อ่าวเล็กๆ แกเร็ต เบล็กหมุน
พังงาคดท้ายเรือเบี่ยงออกมา เรือใบเคลื่อนห่างจากฝั่งออกไป
ตามทิศทางบังคับ มุ่งตรงไปยังน่านนํ้าลึกของเส้นทางสัญจรทาง
ทะเลภายในประเทศ แกเร็ตมองดูเรือทั้งสองด้านเพื่อเฝ้าระวัง
เรือลําอื่นขณะที่เขาบังคับพังงาคัดท้ายเรือให้นิ่ง ดูเหมือนเขาจะ
ควบคุมเรือไว้ได้เต็มที่ทั้งๆ ที่ลมเปลี่ยนทิศ เธเรซ่าบอกได้เลยว่า
เขารู้จักในสิ่งที่เขากําลังทํา
นกนางนวลแกลบบินวนเวียนอยู่ข้างบนขณะที่เรือใบล่อง
ตัดผ่านผืนทะเลไหลลื่นไปตามกระแสลมตอนบน ใบเรือส่งเสียง
พรึ่บพรั่บยามกระพือไหว ขณะที่เรือล่องผ่านไปภายใต้ท้องฟ้าอัน
สลัวรางของรัฐนอร์ทแคโรไลน่า
เธเรซ่ากอดอกแล้วเอื้อมไปหยิบเสื้อยืดแขนยาวที่นําติดตัว
มา เธอสวมมันไว้และรู้สึกดีใจที่นํามันมาด้วย อากาศดูเหมือน
จะหนาวเย็นกว่าตอนเริ่มออกเรือ ดวงอาทิตย์กําลังจะลับขอบฟ้า
เร็วกว่าที่เธอคาดคิดไว้ ดวงอาทิตย์ที่ซึ่งเริ่มอ่อนแสงทําให้เกิดเงา
สะท้อนของใบเรือสาดทอดยาวไปตามดาดฟ้าเรือ นํ้าทะเลเสียง
ดังซู่ซ่าม้วนตัวซัดสาดท้ายเรืออย่างเต็มเหนี่ยว เธเรซ่าขยับก้าว
เข้าไปใกล้ยิ่งขึ้นเพื่อมองดูให้เห็นได้ชัด การมองดูนํ้าทะเลกระ
แทกท้ายเรือจนเป็นฟองนานๆ ทําให้ตกอยู่ในภวังค์ เธอจับราว
ท้ายเรือไว้เพื่อประคองตัวให้สมดุล เธอรู้สึกถึงความหยาบของไม้
บางส่วนที่ยังไม่ได้ขัดให้เรียบ เมื่อมองโดยละเอียดแล้วจึงสังเกต
เห็นว่ามีข้อความสลักอยู่ในราวนั้นว่า สร้างขึ้นในปี 1934 ซ่อมแซม
ในปี 1991
คลื่นที่เกิดจากการแล่นผ่านขอองเรือลําใหญ่ซึ่งอยู่ไกลออก
ไปทําให้เขาและเธอตัวโคลงเคลง เธเรซ่าประคองตัวเดินตรงกลับ
ไปหาแกเร็ต เขากําลังหมุนพวงมาลัยคัดท้ายเรืออีกครั้ง โดยครั้ง
นี้เขาตีโค้งหักศอกมากขึ้น เธอเห็นเขากระตุกยิ้มขึ้นมาในขณะที่
เขาโบกไม้โบกมือไปทางทะเลเปิด เธอเฝ้ามองดูเขาจนกระทั่งเรือ
ล่องออกมาจากอ่าวนั้นได้อย่างปลอดภัย
เป็นครังแรกในช่วงเวลาที่ดูราวกับว่าจะเป็นเช่นนั้นไปตลอด
กาล ที่เธอได้ทําอะไรบางอย่างโดยไม่ต้องคิดล่วงหน้าไว้ก่อนอย่าง
แท้จริง ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอไม่อาจจินตนาการว่าจะได้ทําในเวลาไม่ถึง
สัปดาห์ที่ผ่านมา และขณะนี้มันได้เกิดขึ้นแล้ว เธอไม่แน่ใจใน
สิ่งที่คาดหวังไว้ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าแกเร็ตกลายเป็นคนที่ไม่มีอะไร
เหมือนกับที่เธอจินตนาการเอาไว้เลย? ก็เป็นอันแน่นอนว่าเธอจะ
ต้องกลับบ้านที่บอสตันพร้อมกับคําตอบของเธอ...แต่สําหรับตอน
นี้ เธอหวังว่าเธอจะไม่ต้องจากไปในทันที เพราะสิ่งต่างๆได้เกิด
ขึ้นมากมายเหลือเกินแล้วในขณะนี้
เมื่อมีช่วงห่างมากพอเรือแฮปเปนสแตนซ์กับเรือลํา
อื่นแล้ว แกเร็ตจึงขอให้เธเรซ่าช่วยจับพังงาคัดท้ายเรือ ''แค่พยุง
มันไว้ให้นิ่งน่ะครับ'' เขาพูดแล้วไปปรับใบเรืออีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ดู
เหมือนจะใช้เวลาน้อยกว่าครั้งก่อน เขาเข้ามาจับพังงาคัดท้ายเรือ
แทนเธอ เมื่อมั่นใจว่าเรือมุ่งตรงไปในทิศทางที่ลมพัดแล้ว เขาจึง
นําเชือกขึงใบเรือผูกเป็นห่วงเล็กๆ แล้วคล้องมันไว้รอบแกนหมุน
พังงาคัดท้ายเรือ โดยปล่อยให้เชือกหย่อนลงประมาณหนึ่งนิ้ว
''โอเค นั่นน่าจะควบคุมมันไว้ได้แล้ว'' เขาพูด แล้วแตะ
พังงาคัดท้ายเรือให้แน่ใจว่าคงอยู่ตําแหน่งเดิม
''เรานั่งกันได้แล้วละ ถ้าคุณต้องการ''
''คุณไม่ต้องจับพังงาคัดท้ายเรือไว้เหรอ?''
''ห่วงที่คล้องไว้จะทําหน้าที่เองครับ บางทีคุณต้องจับพังงา
คัดท้ายเรือไว้ตลอดเวลายามที่ลมแปรปรวนจริงๆ แต่เราโชคดีที่
อากาศคืนนี้เป็นใจ เราล่องเรือไปในทิศทางนี้ได้อีกหลายชั่วโมง
ครับ''
เมื่อดวงอาทิตย์คล้อยตํ่าลงมาชิดขอบฟ้ายามเย็นเบื้องหลัง
เขาและเธอ แกเร็ตเดินนําเธเรซ่ากลับมายังที่ซึ่งเธอเคยนั่งอยู่ก่อน
หน้านั้น หลังจากมั่นใจว่าไม่มีอะไรด้านหลังที่อาจเกี่ยวเสื้อผ้าเธอ
แล้ว เขาและเธอจึงนั่งลงที่มุมเรือโดยที่เขานั่งเอนหลังพิงเรือ ส่วน
เธอนั่งติดข้างเรือ เพื่อให้ได้มุมที่สามารถเห็นหน้าซึ่งกันและกัน
เธเรซ่ารู้สึกถึงลมที่พัดมาปะทะใบหน้า เธอรวบผมไปข้างหลังแล้ว
มองออกไปยังผืนทะเล
แกเร็ตเฝ้ามองเธอขณะที่เธอทําเช่นนั้น เธอเตี้ยกว่าเขา
แล้วเขาเดาว่าเธอน่าจะสูงประมาณ 5 ฟุต 7 นิ้ว เธอมีใบหน้า
งดงาม รูปร่างที่ชวนให้เขานึกถึงบรรดานางแบบที่เคยเห็นในนิตย
สารต่างๆ แม้ว่าเธอจะมีเสน่ห์ดึงดูดใจ แต่ก็ยังมีสิ่งอื่นในตัวเธอ
ที่เขาสังเกตเห็นได้มากกว่านั้นด้วย เขารู้สึกได้ทันทีว่าเธอฉลาด
และยังมีความเชื่อมั่นในตัวเอง ประหนึ่งว่าเธอสามารถล่วงผ่าน
อุปสรรคทั้งหลายในชีวิตไปได้ด้วยวิธีของเธอเอง สําหรับเขาแล้ว
สิ่งเหล่านี้มีความสําคัญอย่างแท้จริง หากไร้ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้
แล้ว ความสวยงามก็ไม่มีความหมายใดๆ เลย
ส่วนหนึ่งแล้วเมื่อเขามองดูเธอ ทําให้เขาหวนรําลึกถึงแคธ
รีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสีหน้าของเธอ ดูราวกับว่าเธอกําลังฝัน
กลางวันในขณะที่เธอเฝ้ามองผืนทะเล เขาร้สึกว่าความคิดของ
เขาล่องลอยกลับไปยังเหตุการณ์ครั้งสุดท้ายที่เขาและเธอล่องเรือ
ใบไปด้วยกัน อีกครั้งที่เขารู้สึกผิด แม้เขาจะพยายามอย่างที่สุด
แล้วที่จะหลีกเลี่ยงไม่คิดถึงความรู้สึกดังกล่าว เขาสะบัดศรีษะ
แล้วปรับสายนาฬิกาอย่างใจลอย ครั้งแรกเขาทําให้มันหลวม</span></span>
ภาพประจำตัวสมาชิก
แมงป่อง
แม่ไข่หวาน พ่อไข่เค็ม
 
โพสต์: 1468
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ พ.ค. 05, 2007 10:25 pm

โพสต์โดย แมงป่อง » พุธ มิ.ย. 25, 2008 7:01 pm

<span style='color:gray'><span style='font-size:14pt;line-height:100%'>แล้วก็กลับทําให้มันแน่นขึ้นในตําแหน่งเดิม
''ข้างนอกนี่ช่างงดงามจริงๆ เลยนะคะ'' เธอเอ่ยขึ้นในที่สุด
และหันไปทางเขา
''ขอบคุณที่ชวนฉันมาด้วย''
เขาดีใจเมื่อเธอทําให้ความเงียบสลายไป
''ไม่เป็นไรครับ เป็นการดีที่จะมีเพื่อนบ้างเป็นครั้งคราว''
เธอยิ้มให้กับคําตอบของเขา พร้อมกับสงสัยว่าเขาหมาย
ความตามที่พูดหรือเปล่า
''ปกติแล้วคุณล่องเรือใบเพียงลําพังหรือคะ?''
เขาเอนหลังขณะพูด และเหยียดขาทั้งสองข้างออกไป
ข้างหน้า ''เป็นปกติครับ มันเป็นวิธีที่ดีสําหรับการผ่อนคลายหลัง
การทํางาน ไม่ว่าวันนั้นจะเคร่งเครียดแค่ไหน แต่เมื่อผมได้ออก
มาอยู่ข้างนอกนี้แล้ว ดูเหมือนว่าสายลมจะพัดพาความเครียดทั้ง
หมดไป''
''การดํานํ้าน่ะทําให้คุณเหนื่อยยากขนาดนั้นเลยรึคะ?''
''ไม่หรอก ไม่ใช่การดํานํ้า นั่นเป็นส่วนที่ให้ความสนุก
เพลิดเพลิน มันคือสิ่งอื่นๆ ไม่มากก็น้อย ไม่ว่าจะเป็นงานเอกสาร
การรับมือกับคนซึ่งยกเลิกการเรียนของพวกเขาในนาทีสุดท้าย
และการต้องทําให้แน่ใจว่าร้านมีสินค้าทุกอย่างในปริมาณที่เหมาะ
สม มันอาจเป็นสิ่งที่ต้องทําตลอดวันอันยาวนานเลยครับ''
''ฉันไม่สงสัยเลย แต่คุณก็ชอบมันใช่มั้ย?''
''ใช่ ผมชอบ ผมจะไม่ยอมแลกสิ่งที่ผมทํากับอะไรทั้งนั้น''
เขาหยุดพูดและปรับสายนาฬิกาให้เข้าที่ ''แล้วคุณล่ะทํางานอะไร
เธเรซ่า?'' มันเป็นหนึ่งในสองสามคําถามที่ไม่ต้องเสี่ยงกับคําตอบ
ที่เขาคิดขึ้นไปด้ในระหว่างเวลาของวันนั้น
''ฉันเป็นนักเขียนคอลัมน์ประจําให้กับหนังสือพิมพ์บอสตัน
ไทมส์ค่ะ''
''มาที่นี่เพื่อพักผ่อนวันหยุดเหรอครับ?''
เธอหยุดเงียบไปเพียงครู่เดียวก่อนที่จะตอบว่า
''คุณจะว่าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ''
เขาผงกศรีษะ คําตอบเป็นไปตามที่คาดไว้
''คุณเขียนเรื่องเกี่ยวกับอะไร?''
เธอยิ้ม ''ฉันเขียนเรื่องเกี่ยวกับการดูแลเด็กค่ะ''
เธอเห็นสายตาเขามองด้วยความประหลาดใจ เป็นการ
มองแบบเดียวกับที่เธอเห็นทุกครั้งจากใครบางคนที่เธอมีเดตด้วย
ใหม่ๆ คุณก็อาจจบเรื่องนี้ลงทันทีด้วยเหมือนกัน เธอคิดในใจ
''ฉันมีลูกชายคนหนึ่งค่ะ'' เธอเล่าต่อไป ''เขาอายุ 12 ปี''
เขาเลิกคิ้ว ''สิบสองปี?''
''คุณดูตกใจนะคะ''
''ผมตกใจจริงๆ คุณดูไม่แก่พอที่จะมีลูกอายุ 12 ปีเลย''
''ฉันจะถือซะว่านั่นคือคําชม'' เธอพูดพร้อมกับแสร้งยิ้มโดย
ไม่ได้ปลื้มกับคําล่อใจดังกล่าวเลย เธอไม่พร้อมทีเดียวนักที่จะเปิด
เผยให้ทราบอายุของเธอ ''แต่ก็ใช่ เขาอายุ 12 ปี คุณอยากเห็น
รูปมั้ย?''
''อยากสิ''
เธอหากระเป๋าใส่ธนบัตร แล้วหยิบรูปถ่ายยื่นให้เขา แกเร็ต
จ้องภาพนั้นอยู่ครู่หนึ่งแล้วชําเลืองมองเธอ
''เขาหน้าตาเหมือนคุณเลย'' เขาพูดแล้วยื่นรูปคืนกลับมา
''เขาเป็นเด็กผู้ชายหน้าตาดีนะ''
''ขอบคุณค่ะ'' ขณะที่เธอกําลังเก็บภาพคืนที่เดิมนั้น เธอก็
ถามว่า ''แล้วคุณล่ะ คุณมีลูกมั้ย?''
''ไม่มีครับ'' เขาสั่นศรีษะ ''ไม่มีลูก อย่างน้อยที่สุดเท่าที่
ผมรู้ก็ไม่มีนะ''
เธอหัวเราะหึๆ ในคําตอบของเขา เขาถามต่อไป ''ลูกชาย
คุณชื่ออะไร''
''เควินค่ะ''
''เขาอยู่ในเมืองนี้กับคุณหรือเปล่า?''
''ไม่ค่ะ เขาอยู่กับพ่อเขาที่แคลิฟอร์เนีย เราหย่ากันได้สอง
สามปีแล้ว''
แกเร็ตผงกศรีษะ โดยปราศจากการแสดงความคิดเห็น
แล้วเหลียวหลังไปมองเรือใบอีกลําหนึ่งที่แล่นผ่านไปในระยะไกล
เธเรซ่าเฝ้ามองเรือลํานั้นอยู่ครู่หนึ่งด้วย ในความเงียบสงัดนี้ เธอ
สังเกตได้ถึงความสงบในมหาสมุทรเมื่อเทียบกับเส้นทางสัญจรทาง
ทะเล ขระนี้ได้ยินเพียงเสียงลมพัดใบเรือกระเพื่อมไหวและเสียง
นํ้าทะเลยามเรือแฮปเปนสแตนซ์แล่นตัดผ่านคลื่นเท่านั้น เธอคิด
ว่าเสียงเหล่านั้นฟังแล้วแตกต่างจากเสียงเมื่อครั้งได้ยินจากท่าเรือ
บริเวณข้างนอกนี้ เสียงเหล่านั้นแทบจะไม่มีเสียงอื่นใดมาปะปน
เหมือนกับว่าอากาศในที่โล่งจะนําพาเสียงเหล่านั้นติดตามไปด้วย
ตลอดเวลา
''คุณอยากเห็นส่วนที่เหลือของเรือมั้ย?'' แกเร็ตถาม
เธอผงกศรีษะ ''อยากเห็นค่ะ''
แกเร็ตลุกขึ้นยืนแล้วตรวจดูใบเรืออีกครั้งก่อนเดินนําทาง
เข้าไปในห้อง เธเรซ่าตามหลังห่างเขาอยู่หนึ่งก้าว เมื่อเขาเปิด
ประตูห้องออกแล้ว เขาก็หยุดนิ่งไปชั่วขณะ เศษเสี้ยวแห่งความ
ทรงจําซึ่งฝังอยู่ในใจเขามานานกลับพลุ่งพล่านขึ้นมาทันที บางที
อาจเป็นเพราะอากับกิริยาใหม่ๆ ของผู้หญิงคนนี้ก็ได้

แคธรีนนั่งอยู่บนโต๊ะเล็กๆ ถือขวดไวน์ที่เปิดแล้ว เบื้องหน้า
เธอมีแจกันปักดอกไม้ไว้หนึ่งดอกต้องประกายจากแสงเทียนแท่ง
เล็กๆ เปลวเทียวแกว่งไกวไปตามการเคลื่อนไหวของเรือ สาดเงา
เป็นลํายาวทอดผ่านห้องภายในลําเรือ
ในความมืดสลัวนั้น เขาเห็นได้เพียงแค่รอยยิ้มอันเลือนราง
''ฉันคิดว่าแบบนี้น่าจะทําให้แปลกใจดีนะ'' เธอพูด
''เราไม่ได้กินอาหารใต้แสงเทียนกันมานานแล้ว''
แกเร็ตมองเห็นจานห่อฟอยล์สองใบวางอยู่ข้างเตาเล็กๆ
''คุณนําของทั้งหมดนี่ขึ้นมาบนเรือตอนไหนกันนะ?''
''ก็ขระที่คุณอยู่ที่ร้านน่ะสิ''

เธเรซ่าขยับตัวเข้ามาอยู่ใกล้เขาเงียบๆ แล้วปล่อยให้เขาอยู่
กับห้วงความคิดส่วนตัวของเขา ถ้าเธอสังเกตเห็นว่าเขาลังเลใจ
เธอก็จะไม่แสดงออก
ซ้ายมือของเธเรซ่ามีที่นั่งยาวขนานไปตามลําเรือด้านหนึ่ง
กว้างและยาวพอที่ใครบางคนจะนอนได้อย่างสบาย ด้านตรงข้าม
กับที่นั่งดังกล่าว พอดิบพอดีมีโต๊ะเล็กๆ ตัวหนึ่งซึ่งมีที่วางพอสํา
หรับให้คนสองคนนั่ง ใกล้ๆ ประตูมีอ่างล้างจาน และเตาพร้อม
หัวเตากับตู้เย็นขนาดเล็กอยู่ข้างใต้ ตรงไปข้างหน้าเป็นประตูไปสู่
ห้องพักนอนในเรือ
เขายืนหลบไปด้านหนึ่งพร้อมกับเอามือทั้งสองข้างเท้าสะ
โพกไว้ในขณะที่เธอเดินสํารวจห้องภายในเรือและมองดูทุกสิ่งทุก
อย่าง เขาไม่ได้มายืนชะเง้ออยู่ด้านหลังเธอเหมือนกับที่ผู้ชายบาง
คนน่าจะทํา แต่เขากลับเว้นระยะห่างให้เธอแทน กระนั้น เธอ
รู้สึกถึงสายตาเขาซึ่งเฝ้ามองเธออยู่ แม้เขาจะไม่ได้แสดงออกมา
ให้เห็นอย่างแจ้งชัดก็ตาม หลังจากนั้นครู่หนึ่งเธอพูดขึ้นว่า ''มอง
จากข้างนอก คนจะคิดไม่ถึงเลยนะคะว่ามันใหญ่โตขนาดนี้''
''ผมรู้ดี'' แกเร็ตกระแอมแก้เขิน ''แปลกใจใช่มั้ย?''
''ค่ะ น่าแปลกใจ แต่ดูเหมือนว่าจะมีทุกสิ่งทุกอย่างที่จํา
เป็นสําหรับคุณ''
''มีทุกอย่างเลยครับ ผมสามารถล่องเรือลํานี้ไปยุโรปได้
เลยถ้าผมต้องการ ไม่ใช่ว่าผมแนะนําให้ทําเช่นนั่น แต่มันเป็น
เรือวิเศษมากสําหรับผม''
เขาก้าวอ้อมตัวเธอไปยังตู้เย็น แล้วก้มลงหยิบโค้กกระป๋อง
หนึ่งออกมา ''คุณอยากดื่มอะไรบ้างรึยัง?''
''ค่ะ'' เธอพูดแล้วลูบมือไปตามผนังโดยรู้สึกได้ถึงพื้นผิวของ
เนื้อไม้
''คุณอยากดื่มอะไร? ผมมีเซเว่นอัพกับโค้ก''
''เซเว่นอัพก็ดีค่ะ'' เธอตอบ
เขายืนขึ้น แล้วส่งเซเว่นอัพให้เธอ ในเวลาอันสั้น
นั้น นิ้วของเขาและเธอสัมผัสกันระหว่างที่เธอรับกระป๋องนํ้าอัดลม
ผมไม่มีนํ้าแข็งบนเรือ แต่มันก็เย็นนะ''
''ฉันจะพยายามใช้ชีวิตอยู่กับความไม่สะดวกสบายค่ะ''
เธอพูด เขาจึงยิ้มออกมา เธอเปิดกระป๋องเซเว่นอัพแล้วยกขึ้นดื่ม
ก่อนจะวางลงบนโต๊ะ ขณะที่เขาเปิดกระป๋องนํ้าอัดลมของเขานั้น
เขามองเธอแล้วคิดถึงคําพูดของเธอก่อนหน้านี้ เธอมีลูกชายอายุ
12 ปี...และเป็นนักเขียนคอลัมน์ประจําหนังสือพิมพ์ นั่นหมาย
ความว่า เธอน่าจะผ่านการเรียนมาจากมหาวิทยาลัย ถ้าเธอรอ
จนกระทั่งเรียนจบ แล้วจากนั้นจึงแต่งงาน และมีลูก...นั่นน่าจะ
ทําให้เธอมีอายุแก่กว่าเขาสี่ปีหรือห้าปี เธอไม่ได้ดูแก่
มากขนาดนั้นเลย ไม่แก่มากขนาดนั้นแน่นอน แต่เธอก็ไม่ได้ทํา
ตัวเหมือนคนส่วนใหญ่ที่มีอายุระหว่าง 20 ถึง 29 ปีที่เขารู้จักใน
เมืองนี้เลย เธอมีความเป็นผู้ใหญ่อยู่ในการปฏิบัติตัวของเธอ อัน
เป็นลักษณะบางอย่างซึ่งมีเฉพาะคนที่เคยผ่านร้อนผ่านหนาวใน
ชีวิตมาแล้วเท่านั้น
แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสําคัญอะไร
เธอหันเหความสนใจไปที่กรอบใส่รูปถ่ายที่แขวนบนผนัง
ในรูป แกเร็ต เบล็กยืนอยู่บนสะพานท่าเทียบเรือคู่กับปลามาร์ลิน*
(*marlin - ปลาทะเลขนาดใหญ่ มีลําตัวเรียวยาวไปจนถึงประมาณ
2.5 เมตร ปากยาวแหลม ครีบหลังแข็งสูงยาวไล่ระดับกันลงมาเหมือน
คลื่น ว่ายนํ้าได้รวดเร็ว เป็นที่นิยมของนักตกปลาใหญ่ นํามากินเป็นอา
หารที่แพร่หลายชนิดหนึ่ง ในหนังสือเรื่อง The OldMan and the Sea ของ
เออรืเนสต์ เฮมมิงเวย์ ใช้ปลามาร์ลินเป็นหนึ่งในตัวเอกของเรื่อง)
ตัวหนึ่งที่เขาจับได้ และดูหนุ่มกว่าตอนนี้มาก ในภาพเขายิ้มกว้าง
สีหน้าแสดงความร่าเริงออกมา ทําให้เธอนึกถึงสีหน้าของเควินทุก
ครั้งที่เขาได้คะแนนจากการทําประตูในการเล่นฟุตบอล
ในความเงียบชั่วขณะนั้น ฉับพลันเธอก็พูดขึ้นว่า ''ฉันเห็น
แล้วว่าคุณชอบตกปลา'' เธอชี้ไปที่รูป เขาก้าวตรงมาหาเธอ
และยามเขาอยู่ใกล้ เธอรู้สึกได้ถึงไออุ่นที่แผ่ออกมาจากตัวเขา
เขามีกลิ่นคล้ายๆ ไอจากทะเล
''ใช่ ผมชอบ'' เขาพูดค่อยๆ ''พ่อผมเป็นคนหากุ้ง ผมจึง
เติบโตมากับทะเลนานพอๆ กับที่เขาประกอบอาชีพนั้น''
''รูปนี้ถ่ายมานานแค่ไหนแล้วคะ?''
''รูปนี้เก่าประมาณ 10 ปีแล้ว ถ่ายไว้ก่อนที่ผมจะกลับไป
เรียนต่อปีสุดท้านที่มหาวิทยาลัย พอดีมีการแข่งขันตกปลา พ่อ
กับผมจึงตัดสินใจใช้เวลาสองสามคืนออกเรือไปในกระแสนํ้าอุ่น
กัลฟ์สตรีม และเราจับปลามาร์ลินตัวนั้นได้ในบริเวณซึ่งห่างจาก
ฝั่งออกไปประมาณ 60 ไมล์ ใช้เวลาเกือบ 7 ชั่วโมงเพื่อนํามัน
กลับมา เพราะพ่อต้องการให้ผมเรียนรู้วิธีจัดการกับมันแบบดั้งเดิม
''หมายถึงอะไรคะ?''
เขาหัวเราะเบาๆ ''โดยพื้นฐานแล้วหมายถึงมือทั้งสองข้าง
ผมถูกบาดจนยับเยินเมื่อผมจับมันเสร็จเรียบร้อยแล้ว และผม
แทบจะขยับหัวไหล่ไม่ได้เลยในวันถัดมา สายเบ็ดที่เราใช้เกี่ยวมัน
ขึ้นมาไม่แข็งแรงเพียงพอเอาซะเลยสําหรับปลาตัวใหญ่ขนาดนั้น
ดังนั้น เราจึงต้องปล่อยให้เจ้าปลามาร์ลินตัวนั้นว่ายหนีไปจนกว่า
มันจะหยุด แล้วปล่อยให้มันว่ายหนีไปอีกครั้ง จนกระทั่งมันอ่อน
แรงเกินกว่าที่จะต่อสู้อีกต่อไป''
''คล้ายกับเรื่อง The Old Man and the Sea ของเฮมมิงเวย์
เลยนะคะ''
''ก็ประมาณนั้นละ''
''นอกเสียจากว่า ผมไม่ได้รู้สึกเหมือนชายแก่เลยจนกระทั่ง
วันต่อมา ตรงกันข้าม พ่อผมต่างหากที่อาจสวมบทบาทในภาพ
ยนตร์เรื่องนั้นได้''
เธอมองรูปนั้นอีกครั้ง ''นั่นพ่อของคุณรึเปล่าคะ คนที่ยืน
ชิดกับคุณน่ะ?''
''ใช่ นั่นแหละเขา''
''เขาคล้ายคุณนะคะ'' เธอพูด
แกเร็ตยิ้มน้อยๆ และสงสัยว่านั่นเป็นคําชมหรือเปล่า เขา
ผายมือไปที่โต๊ะ เธเรซ่าจึงนั่งลงตรงข้ามเขา เมื่อนั่งในท่าสบาย
แล้วเธอเอ่ยถามขึ้นว่า
''คุณบอกว่าเรียนจบมหาวิทยาลัยใช่มั้ยคะ?''
เขาสบตาเธอ ''ครับ ผมเรียนจบจากมหาวิทยาลัยนอร์ท
แคโรไลน่า วิชาเอกสาขาชีววิทยาทางทะเล ผมไม่สนใจสาขาอื่น
มากนัก และเมื่อพ่อบอกกับผมว่า ผมจะกลับบ้านโดยไม่มีปริญ
ญาไม่ได้ ผมจึงคิดว่าผมน่าจะเรียนอะไรที่ผมอาจจะนํามาใช้ใน
ภายหลังได้''
''แล้วคุณก็เลยซื้อร้าน...''
เขาสั่นศรีษะ ''ไม่ครับ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในทันทีหลังจาก
สําเร็จการศึกษาแล้ว ผมทํางานให้กับสถาบันดุ๊กมารไทม์ในตํา
แหน่งผู้เชี่ยวชาญการดํานํ้า แต่การทํางานที่นั่นไม่ได้เงินมากนัก
ดังนั้นผมจึงไปสอบจนได้ใบอนุญาตสอนดํานํ้า และเริ่มนํานัก
เรียนเข้ามาเรียนดํานํ้าในวันสุดสัปดาห์และมีร้านหลังจากนั้นสอง
สามปี เขาขมวดคิ้ว ''แล้วคุณล่ะ?''
เธเรซ่ายกเซเว่นอัพขึ้นดื่มอีกครั้งก่อนตอบ ''ชีวิตฉันไม่ค่อย
น่าตื่นเต้นเหมือนคุณหรอกค่ะ ฉันเติบโตมาในเมืองโอมาฮ่า รัฐ
เนบราสก้า แล้วเรียนหนังสือที่มหาวิทยาลัยบราวน์ หลังจบการ
ศึกษาฉันก็ระหกระเหินทํางานตามสํานักงานต่างๆ สองสามแห่ง
และพยายามหาสิ่งที่แตกต่างบางอย่างทํา ในที่สุดก็ลงหลักปัก
ฐานที่บอสตัน ฉันทํางานอยู่กับหนังสือพิมพ์บอสตันไทมส์ มาจน
เดี๋ยวนี้ 9 ปีแล้วค่ะ แต่เพิ่งมาเป็นนักเขียนประจําคอลัมน์ให้กับ
หนังสือเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ก่อนหน้านั้นฉันเป็นผู้สื่อข่าวค่ะ''
''คุณชอบเป็นคอลัมนิสต์มั้ย?''
เธอคิดถึงเรื่องนั้นครู่หนึ่ง ราวกับว่าเธอกําลังใคร่ครวญถึง
สิ่งนี้เป็นครั้งแรก
''มันเป็นงานที่ดีค่ะ'' เธอเอ่ยขึ้นในที่สุด ''เดี๋ยวนี้ดีขึ้นมาก
กว่าตอนที่ฉันเริ่มทํา ฉันสามารถไปรับเควินหลังเลิกเรียนได้
และมีอิสระที่จะเขียนถึงอะไรก็ได้ที่ฉันต้องการตราบเท่าที่อยู่ใน
กรอบคอลัมน์ของฉัน มันให้รายได้ดีทีเดียวด้วยค่ะ ดังนั้น ฉันจึง
ไม่อาจบ่นว่าถึงเรื่องนั้นได้เลย แต่...''
เธอหยุดพูดอีกครั้ง ''ทั้งหมดนั่นก็ไม่มีอะไรท้าทายอีกต่อ
ไปแล้วค่ะ อย่าเข้าใจฉันผิดนะคะ ฉันชอบงานที่ฉันทํา แต่บาง
ครั้งฉันรู้สึกว่าฉันกําลังเขียนสิ่งเดียวกันครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงจะเป็น
อย่างนั้น มันก็ไม่มีอะไรเลวร้ายนัก ถ้าฉันไม่มีสิ่งอื่นอีกหลายอย่าง
ที่ต้องทําให้เควิน ฉันเดาว่าตอนนี้คุณคงคิดในแบบของคุณว่า
ฉันเป็นแม่ม่ายลูกติดที่ทํางานมากเกินไป ถ้าคุณทราบว่าสิ่งที่ฉัน
พูดหมายถึงอะไร''
เขาผงกศรีษะและพูดเบาๆ
''ชีวิตมักไม่เป็นไปตามวิถีทางที่เราคิดว่ามันนร่าจะเป็นใช่
มั้ย?''
''ไม่ค่ะ ฉันคิดว่ามันคงไม่เป็นเช่นนั้น'' เธอพูด และเป็น
อีกครั้งที่เธอสะดุดใจในการจ้องมองของเขา สีหน้าเขาสร้างความ
สงสัยให้เธอว่า เขาได้พูดอะไรบางอย่างที่เขาไม่ค่อยได้พูดเช่นนี้
กับคนอื่นหรือเปล่า เธอยิ้มและเอนตัวไปหาเขา
''คุณพร้อมจะกินอะไรรึยังคะ? ฉันนําอาหารบางอย่างมา
ในตะกร้าด้วย''
''เมื่อไหร่ก็ได้ครับที่คุณพร้อม''
''ฉันหวังว่าคุณคงชอบแซนดืวิชกับสลัดเย็น มันเป็นอาหาร
เพียง 2 ชนิดเท่านั้นที่ฉันคิดว่าจะไม่เสีย''
''ฟังดูดีกว่าของที่ผมน่าจะได้กินซะอีก ถ้าลําพังเพียงตัว
ผมแล้ว บางทีผมอาจหยุดพักกินเบอรืเกอร์ชิ้นหนึ่งก่อนออกทะเล
ในคืนนี้ก็ได้ คุณอยากกินที่ห้องข้างล่างนี่ หรืออกไปกินข้าง
นอก?''
''ข้างนอกแน่นอนค่ะ''
เขาและเธอต่างหยิบกระป๋องนํ้าอัดลมของตัวเองแล้วเดิน
ออกมาจากห้องพักในเรือ ระหว่างเดินออกมาแกเร็ตคว้าเสื้อกัน
ผนออกมาหมุนแขวนใกล้ประตู แล้วโบกมือให้เธอเดินต่อไปโดย
ทิ้งเขาไว้ ''ขอเวลาผมทอดสมอเรือครู่เดียวครับ'' เขาพูด ''เราจะ
ได้กินอาหารโดยไม่ต้องคอยตรวจสอบทิศทางเรือทุกๆ สองสาม
นาที'' เธเรซ่าเดินไปถึงที่นั่งของเธอแล้วเปิดตะกร้าที่นําติดตัวมา
ด้วย ที่ปลายขอบฟ้า ดวงอาทิตย์กําลังเคลื่อนตัวลงสู่ขอบปุยเมฆ
ขาวกลมที่ซ้อนเป็นชั้นลดหลั่นกันลงมา เธอหยิบแซนด์วิชสองชิ้น
ที่ห่ออยู่ในแผ่นวัสดุโปร่งใสออกมา พร้อมด้วยโคลสลอว์และสลัด</span></span>
ภาพประจำตัวสมาชิก
แมงป่อง
แม่ไข่หวาน พ่อไข่เค็ม
 
โพสต์: 1468
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ พ.ค. 05, 2007 10:25 pm

โพสต์โดย แมงป่อง » พฤหัสฯ. มิ.ย. 26, 2008 8:08 am

<span style='color:red'><span style='font-size:14pt;line-height:100%'>มันฝรั่งที่อยู่ในภาชนะโฟม
เธอเฝ้ามองแกเร็ตขณะที่เขาวางเสื้อกันฝนไว้ข้างตัวและ
ลดใบเรือ มันทําให้เรือเคลื่อนตัวช้าลงในทันที แผ่นหลังของเขา
ขณะที่กําลังลดใบเรือนั้น ทําให้เธอสังเกตเห็นความแข็งแกร่งใน
ตัวเขาอีกครั้ง จากจุดที่นั่งอยู่นั้น กล้ามเนื้อบริเวณไหล่ของ
เขาดูใหญ่กว่าที่เธอคิดไว้เมื่อเห็นครั้งแรก ช่วงเอวซึ่งเล็กช่วยให้
กล้ามเนื้อบริเวณนั้นดูขยายใหญ่ขึ้น เธอไม่อยากเชื่อเลยว่าได้มา
ล่องเรือใบกับชายผู้นี้จริงๆ ทั้งที่เมื่อ 2 วันก่อนเธอยังอยู่ที่บอสตัน
สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเหมือนไม่ใช่ความจริง
ขณะที่แกเร็ตง่วนอยู่กับการทํางานอย่างไม่ลดละนั้น เธเรซ่า
เงยหน้ามองขึ้นไปด้านบน ลมพัดแรงขึ้นเนื่องจากอุณภูมิลดตํ่า
ลง และท้องฟ้าค่อยๆ มืดลงทีละน้อย
เมื่อเรือหยุดสนิทแล้ว แกเร็ตจึงทอดสมองลง เขารออยู่ครู่
หนึ่งเพื่อให้แน่ใจว่าสมอตรึงลําเรือไว้ได้ เมื่อมั่นใจแล้วเขาจึงเดิน
มานั่งในที่ติดกับเธเรซ่า
''ฉันอยากให้มีอะไรบางอย่างที่ฉันพอจะช่วยคุณได้จังเลย
ค่ะ'' เธเรซ่าพูดพร้อมกับรอยยิ้ม เธอสะบัดผมเคลียบ่าแบบเดียว
กับที่แคธรีนเลยทํา และชั่วขณะนั้นเขาไม่ได้พูดอะไรเลย
''ทุกอย่างเรียบร้อยดีมั้ยคะ?'' เธเรซ่าถาม
เขาผงกศรีษะ และทันใดนั้นก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาอีกครั้ง
''เรายังสบายกันดีอยู่บนเรือนี้ครับ เพียงแต่ผมกําลังคิดว่า ถ้า
ลมพัดแรงขึ้นเรื่องยๆ แล้ว เราคงจะต้องเปลี่ยนทิศทางบ่อยขึ้นเล็ก
น้อยระหว่างที่เราเดินทางกลับ''
เธอวางสลัดมันฝรั่งและโคลสลอว์พร้อมด้วยแซนด์วิชลงใน
จานแล้วส่งให้เขา โดยรับรู้ความจริงว่า เขากําลังนั่งเขยิบเข้ามา
ใกล้เธอมากขึ้นกว่าเดิม
''แล้วจะต้องใช้เวลาล่องเรือกลับนานขึ้นกว่าเดิมมั้ยคะ?''
แกเร็ตเอื้อมไปหยิบส้อมพลาสติกสีขาวแล้วตักโคลสลอว์กิน เขา
ต้องใช้เวลาครู่หนึ่งก่อนตอบว่า
''นิดหน่อยครับ แต่ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไรถ้าลมไม่หยุด
นิ่ง ถ้าเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้น เราก็ติดแหง็กกันอยู่ที่นี่''
''ฉันเข้าใจว่าเหตุการณ์เช่นนั้นคงเคยเกิดกับคุณมาก่อน
แล้ว''
เขาผงกศรีษะ ''ครั้งหรือสองครั้ง มันไม่ค่อยเกิดหรอก
แต่มันก็อาจเกิดขึ้นได้''
เธอมีสีหน้างงๆ ''ทําไมเหตุการณ์เช่นนั้นไม่ค่อยเกิดล่ะ?''
ลมไม่พัดอยู่ตลอดเวลาไม่ใช่รึคะ?''
''โดยปกติแล้วในมหาสมุทรจะมีพัดลมตลอด''
''ทําไมคะ''
เขายิ้มด้วยความขบขันแล้วจัดแซนด์วิชบนจาน ''ก็ลมเกิด
จากความแตกต่างระหว่างอุณหภูมิน่ะสิครับ มันเกิดเมื่ออากาศ
ร้อนวิ่งเข้าหาอากาศที่เย็นกว่า การที่ลมจะหยุดพัดเมื่อคุณออก
เรือมาในทะเลนั้น คุณจําเป็นต้องเจอกับอากาศที่มีอุณภูมิเท่ากับ
อุณหภูมิของนํ้าในระยะไมล์รอบๆ เรือคุณพอดี สําหรับที่นี่
แล้ว โดยปกติอากาศจะร้อนระหว่างวัน แต่ทันทีที่ดวงอาทิตย์ตก
อุณหภูมิจะลดลงอย่างรวดเร็ว นั่นคือเหตุผลว่า ทําไมเวลาที่ดีที่
สุดในการออกเรือคือช่วงใกล้คํ่า ในช่วงนั้นอุณหภูมิกําลังเปลี่ยน
แปลงอย่างต่อเนื่อง และนั่นทําให้การล่องเรือเป็นไปอย่างดีเยี่ยม''
''จะเกิดอะไรขึ้นคะ ถ้าลมหยุด?''
''ใบเรือก็ขาดลม แล้วเรือก็จะเริ่มหยุด คุณไรพลังโดยสิ้น
เชิงในการทําสิ่งใดๆ ให้มันเคลื่อนไปได้''
''คุณบอกว่าสิ่งนี้เคยเกิดขึ้นกับคุณมาแล้วใช่มั้ย?''
เขาผงกศรีษะ
''คุณทํายังไงคะ?''
''ไม่ทําอะไรเลย จริงๆ นะครับ แค่นั่งเอนหลังลงและมี
ความสุขอยู่กับความเงียบ ผมไม่ได้อยู่ในภยันตราย และผม
รู้ดีว่าเมื่อถึงเวลาอุณหภูมิในอากาศก็จะลดลง ดังนั้น ผมเพียงแค่
รอให้ลมมา หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมงหรือราวๆ นั้นลมก็จะพัดแรง
ขึ้น แล้วผมก็ล่องเรือกลับมายังท่าเรือได้''
''ฟังดูเหมือนเป็นวันที่จบลงด้วยความหฤหรรษ์นะคะ''
''ใช่แล้วครับ'' เขาเมินไปจากการจ้องมองอย่างไม่วางตา
ของเธอ แล้วเพ่งไปที่ประตูห้องพักบนเรือ หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขา
ก็พูดเสริมโดยแทบจะเป็นการพูดกับตัวเองว่า
''เป็นสิ่งที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งเลยครับ''

แคธรีนเขยิบตัวให้มีที่ว่างบนที่นั่ง ''มานี่สิ มานั่งติดกับฉัน
นี่''
แกเร็ตปิดประตูห้องพักบนเรือ แล้วเดินตรงไปหาเธอ
''นี่เป็นวันที่ดีที่สุดที่เราได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันมาตลอดระยะ
เวลาอันยาวนานเลย'' แคธรีนพูดอย่างอ่อนโยน
''ช่วงหลังนี้ดูเหมือนเราจะมีธุระยุ่งเกินไป และ...ฉันไม่รู้
ว่า...'' เสียงเธอแผ่วเบาลง ''ฉันเพียงแต่ต้องการทําอะไรพิเศษบาง
อย่างสําหรับเรา''
ขณะที่เธอพูด แกเร็ตรู้สึกเหมือนกับว่าภรรยาของเขามีสี
หน้าแสดงความรักใคร่ เหมือนกับที่เธอเป็นในคืนวันแต่งงานของ
เขาและเธอ
แกเร็ตนั่งลงข้างเธอและรินไวน์ ''ผมขอโทษ ที่ช่วงหลังผม
มัวแต่ยุ่งอยู่กับงานที่ร้าน'' เขาพูดบ่อยๆ ''คุณก็รู้ดีว่าผมรักคุณ''
''ฉันรู้'' เธอยิ้มและกุมมือของเขาไว้
''มันจะดีขึ้นในไม่ช้า ผมสัญญา''
แคธรีนผงกศรีษะแล้วเอื้อมไปจิบไวน์ในแก้วเธอ ''เราอย่า
มาพูดเรื่องนั้นกันตอนนี้ดีกว่า ตอนนี้ฉันอยากให้เรามีความสุข
เพียงแค่เราสองคนเท่านั้น โดยไม่มีสิ่งใดมารบกวน''

''แกเร็ตคะ''
แกเร็ตมองเธเรซ่าด้วยความตกใจ ''ผมขอโทษ เขาเริ่มพูด
ขึ้น
''คุณเป็นอะไรรึเปล่าคะ?'' เธอกําลังจ้องมองเขาด้วยความ
รู้สึกที่ผสมผสานกันระหว่างความห่วงใยและความงุนงง
''ผมสบายดี...ผมเพียงแค่กําลังนึกถึงอะไรบางอย่างที่ผม
ต้องดูแลรับผิดชอบอยู่'' แกเร็ตแต่งเรื่องขึ้นมาสดๆ ''อย่างไรก็
ตาม'' เขาพูดพร้อมกับยืดตัวตรงขึ้น แล้วประสานมือไว้เหนือเข่าที่
ยกขึ้นมาข้างหนึ่ง ''พอแล้วเรื่องของผม เธเรซ่า ถ้าคุณไม่รังเกียจ
เล่าอะไรบางอย่างเกี่ยวกับตัวคุณให้ผมฟังบ้างสิ''
ด้วยความงุนงงและไม่แน่ใจเล็กน้อยในสิ่งที่เขาต้องการรู้
อย่างแท้จริง เธอจึงเริ่มเล่าตั้งแต่ต้น เธอพูดนิดหน่อยถึงข้อเท็จ</span></span>
ภาพประจำตัวสมาชิก
แมงป่อง
แม่ไข่หวาน พ่อไข่เค็ม
 
โพสต์: 1468
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ พ.ค. 05, 2007 10:25 pm

ย้อนกลับต่อไป

ย้อนกลับไปยัง คุยกันเจ๊าะแจ๊ะ

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน