ครัวไกลบ้านได้ทำการปรังปรุงเวบไซต์ให้ใช้งานได้ง่ายขึ้นในระบบสมาร์ทโฟน และได้รวมข้อมูลเมนูอาหารและ สมาชิกจากทั้งเวบไซต์เก่าและใหม่เสร็จเรียบร้อยแล้ว

สมาชิกท่านไหนมีปัญหาไม่สามารถล็อกอินได้ ให้ทำการเปลี่ยนพาสเวิร์ดโดยคลิ๊กลิ้งค์นี้ ลืมรหัสผ่าน
ถ้าท่านใดมีชื่อสมาชิกมากกว่าหนึ่งชื่อแล้วต้องการรวมโพสทั้งหมดให้อยู่ในชื่อสมาชิกเดียว หรือมีปัญหาในการใช้เวบไซต์
สามารถส่งอีเมล์แจ้งรายละเอียดมาได้ที่ admin@kruaklaibaan.com หรือส่งข้อความได้ที่ user: sillyfooks

ถ้าชอบครัวไกลบ้าน อย่าลืมคลิ๊กไลค์เฟสบุ๊คให้ครัวไกลบ้านด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ

มีเรื่องเล่าหลังงานฉลองให้ฟังค่ะ น่ารักมากๆ

ห้องนี้เปิดไว้สำหรับให้อาสาสมัครช่วยงานเว็บครัวไกลบ้าน เพื่อใช้เป็นห้องทดลองตั้งกระทู้ แตกระทู้ รวมกระทู้ ฯลฯ สมาชิกมองไม่เห็นห้องนี้นะคะ หากไม่แน่ใจว่าจะจัดการกับคำสั่งต่างๆอย่างไร เชิญแวะฝึกหัดที่ห้องนี้ได้เลยค่ะ

โพสต์โดย ซาร่า » จันทร์ มิ.ย. 26, 2006 10:45 am

<span style='color:red'>คณะของสวาซิแลนด์
ทำเอาชาวบ้านหัวใจเกือบวาย ด้วยการประกอบพิธีโดยคุณ "Spiritualist" ในคณะ
เมื่อคราวเสด็จฯ พระที่นั่งอนันตฯ ตอนที่คณะจะเสด็จกลับ คุณ Spiritualist
ซึ่งได้รับเชิญให้มากับกษัตริย์สวาซิแลนด์คนนี้ก็เดินกลับมาหาในหลวง
แล้วก็ตะโกนเสียงดังมาก ท่าทางขึงขังราวกับจะเข้ามาทำร้าย แล้วก็เดินจากไป
ขณะที่พระองค์ท่านพระพักตร์นิ่งมาก ๆ ส่วนทุกคนในที่นั้นหน้าซีดเผือด
คืนนั้น ทหารของวังก็มาที่โรงแรมทันที
เล่นเอานายตำรวจเกียรติยศของเราที่เป็นราชองครักษ์ให้กับคณะถึงกับลมใส่
แต่ปรากฏว่าไม่มีอะไรค่ะ ในวังสั่งให้มาสอบถามฝ่ายสวาซิแลนด์ว่า
คุณหมอผีแกพูดว่าอะไร และท่าทางในขณะนั้นมีความหมายว่าอย่างไร
คำตอบน่ารักมาก เค้าบอกว่า นั่นคือพิธีถวายพระพรพระเจ้าอยู่หัว
แต่เสียดายมากที่ไม่สามารถทำได้อย่าง "ครบเครื่อง"เพราะตามปกติต้องมีชุดประจำชาติ (ซึ่งจะมีหอก และไม้เท้า)
แต่โดยที่เราไม่อนุญาตให้พกอาวุธ (ยกเว้นเป็นเครื่องแต่งกายปกติของกษัตริย์
อาทิ ชุดของ king คูเวต และมาเลเซียซึ่งเหน็บกริชด้วย)
จึงไม่สามารถทำได้อย่างครบถ้วนถูกต้อง แล้วขอโทษมาด้วย
คนที่ได้ยินเลยอมยิ้มกันไปตาม ๆ กัน
...........................................................................</span>
...............................
<span style='color:blue'>>สมเด็จพระบรมนาถสีหมุนี
วันเสด็จฯ ไปกองทัพเรือนั้น ประชาชนมารอรับเสด็จเนืองแน่น
พระองค์ท่านทรงโบกพระหัตถ์อยู่ในรถ
จนคุณตำรวจเกียรติยศทูลถามว่าทรงประสงค์จะให้เอากระจกลงหรือไม่ ตอนแรก
พระองค์ท่านทรงปฏิเสธ แต่ในที่สุด เมื่อทอดพระเนตรเห็นฝูงชนที่บีบเข้ามาเรื่อย

ๆ รถก็เคลื่อนไปได้ช้า จึงรับสั่งให้เอากระจกลง
พอชาวบ้านเห็นก็ตะโกนกันใหญ่ว่า ทรงพระเจริญ พระองค์ท่านแย้มสรวลให้
จนมีเสียงผู้หญิงคนนึงตะโกนฝ่ามาจากฝูงชนว่า "ทรงหล่อมาก ๆ"
คราวนี้พระองค์ท่านแย้มพระสรวลไม่หุบเลย
...........................................................................
................
มีคนหลังไมค์มาถามเราว่า เราไปทำอะไรมาเหรอ ถึงรู้เรื่องที่เอามาเล่าเนี่ย
ก็ขอตอบละกันว่าไปเป็น "เลซอง" มาค่ะ
เลซอง (liaison) คือเจ้าหน้าที่ประสานงานให้กับคณะของพระราชอาคันตุกะ
ทุกคณะจะมีเลซองประจำคณะละ 2 คนขึ้นไป หลัก ๆ คือเป็นเลซองตัวพระประมุข 1
คนและผู้ช่วยเลซอง 1 คน แต่หากมีพระชายา /
พระสวามีโดยเสด็จด้วยก็จะเพิ่มเลซองอีก 1 คน (ของมาเลเซียกับญี่ปุ่น มีคณะละ 4

คน เนื่องจากคณะใหญ่มาก ญี่ปุ่นมีผู้ตามเสด็จประมาณ 200 คน)
พูดถึงเลซองแล้วก็คิดถึงสมเด็จพระราชินีซิลเวียแห่งสวีเดน
และเจ้าหญิงแมรี่แห่งเดนมาร์ก
เกร็ดน่ารัก ๆ เรื่องนี้คือว่า ทั้งสองพระองค์เคยเป็นสามัญชนมาก่อน
(ควีนซิลเวียเป็นชาวเยอรมัน ส่วนเจ้าหญิงแมรี่เป็นชาวออสเตรเลีย)
และเคยเป็นเลซอง จึงได้พบกับกษัตริย์สวีเดน และเจ้าชายแห่งเดนมาร์ก
เมื่อท่านเสด็จฯ ไปเยือนประเทศบ้านเกิดของทั้งสองพระองค์

เอ้อ ไม่อยากบอกเลยว่าข้อมูลนี้เลยเป็นแรงบันดาลใจให้สาว ๆ
หลายคนอยากเป็นเลซองให้กับคณะ ๆ หนึ่ง
ซึ่งไม่ต้องบอกก็คงรู้กันดีนะคะว่าเป็นคณะไหน
แต่.. เสียใจด้วยจ้า คณะนั้น เค้าจัดเลซองผู้ชายให้แล้ว (ฮือ เสียดาย)
...........................................................................
................................
</span>
<span style='color:purple'>>บรูไนกับมาเลเซีย
คืนวันที่ 12 ราว ๆ 2 ยาม เห็นจะได้ เจ้าหน้าที่สถานทูตบรูไน 3 คน มาที่โรงแรม

Shangri-La และได้ขอพบเลซองมาเลเซีย แล้วก็บอกว่า
ควีนบรูไนมีของมาถวายองค์รายา ประไหมสุหรี อากง (ควีนมาเลเซีย)
ต้องถวายให้ได้ในคืนนั้น
ของนั้นเป็นถุงกระดาษสีน้ำตาลเล็ก ๆ มี scotch tape พัน ๆ อยู่
ดูแล้วไม่เรียบร้อยเลยแม้แต่น้อย
แต่เจ้าหน้าที่บรูไนมีเอกสารมาให้เซ็นรับอย่างดี และยืนยันต้องถวายให้ได้
โชคดีว่าขณะนั้น ทรงประทับเสวยพระกระยาหารมื้อดึกอยู่ ยังไม่เข้าบรรทม
ราชเลขาธิการมาเลเซียจึงได้นำของดังกล่าวเข้าไปถวายโดยใส่พาน
แต่มิได้แกะห่อออกดู จึงทรงรับสั่งให้แกะห่อ
เอ่อ ทายสิคะว่าของในห่อที่ดูไร้ค่ามาก ๆ คืออะไร

มันคือ เครื่องเพชรค่ะ เครื่องเพชรอันใหญ่เบ้ง ประกอบด้วยพัชราวลัย (สร้อยคอ)
กุณฑล (ต่างหู) และกำไลข้อพระกรอีก 1 คู่
(ปาดเหงื่อ 1 ที) งานนี้ เลซองเกือบซวยค่ะ เธอสารภาพกับดิฉันว่า
คิดว่าจะแอบเอาไปโยนทิ้งอยู่แล้ว เพราะสภาพของห่อดีกว่าห่อขนมไข่หงส์นิดเดียว
!
...........................................................................
............................................................................
..................................................................
speech ประวัติศาสตร์ที่จับใจคนทั้งโลกขององค์สุลต่านแห่งบรูไนค่ะ
ก่อนหน้านั้นเพียงวันเดียว
ท่านได้ทรงขอข้อมูลจากฝ่ายไทยเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เพื่อเตรียมการยกร่าง และคำถามที่ถามกันมากมากเหลือกเกินว่าใครคือผู้ยกร่าง
ผู้ร่างก็คือ องค์สุลต่านนั่นเองค่ะ
ยืนยันจากเจ้าหน้าที่โต๊ะบรูไนของกระทรวงการต่างประเทศ ที่นั่งทำงานอยู่ข้าง ๆ

ดิฉันเนี่ยแหละเพราะเธอเป็นคนให้ข้อมูลท่านไปเองค่ะ
และท่านทรงยกร่างเองและรัฐมนตรีต่างประเทศ เพียงเตรียมเป็นประเด็นสั้น ๆ
(pointers)
ให้ทราบว่าทรงปลาบปลื้มพระทัยยิ่งกับความเอาพระทัยใส่ของในหลวงของเรา
ที่ทรงรับสั่งแสดงความยินดีกับองค์สุลต่านที่พระชายาชาวมาเลเซียมีประสูติ
กาลพระโอรสเพียง
1 สัปดาห์ก่อนเสด็จมาประเทศไทย

อยากจะบอกว่า ภาษาอังกฤษที่ใช้นั้น ไม่มีอะไรที่ซับซ้อนเลย
เป็นภาษาที่แสนจะง่าย ธรรมดาสามัญ แต่เมื่อประกอบกันขึ้นเป็น speech แล้ว
กลับซาบซึ้งกินใจอย่างยิ่ง

...........................................................................
............................................................................
.............................................................
>พ.ต.ท.เชิดชาย ชมธวัช วัย 64 ปี นายตำรวจเกษียณ
ผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์สงครามโลกครั้งที่ 2
ที่ได้รับพระราชทานวโรกาสให้เข้าเฝ้าพระประมุขแห่งญี่ปุ่นอย่างใกล้ชิด
คุณลุงเชิดชาย เล่าย้อนเวลาเมื่อ 12 ปีที่ผ่านมา
เมื่อครั้งที่ยังรับราชการในตำแหน่ง รองผกก.หน.สภ.อ.ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน
ได้พบว่าในพื้นที่ อ.ขุนยวม
มีข้าวของเครื่องใช้ของทหารญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกหลงเหลืออยู่กระจัดกระจาย
เป็นจำนวนมาก
เลยมีความคิดริเริ่มที่จะรวมรวมสิ่งที่หลงเหลือจากประวัติศาสตร์เหล่านี้รวมกัน
ไว้
เพื่อเป็นแหล่งความรู้ให้กับคนรุ่นหลัง
จึงเริ่มสะสมและเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้นนับแต่นั้นมา
คุณลุงก็ได้รับหนังสือเชิญจากสถานทูตญี่ปุ่น
โดยมีข้อความเชิญตัวคุณลุงเองและภรรยาเข้าเฝ้าสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตและ
สมเด็จพระจักรพรรดินีมิชิโกะ
ในวันที่ 13 มิ.ย.
โดยข้อความทั้งหมดเป็นภาษาอังกฤษและเขียนชื่อคุณลุงเป็นภาษาไทย
และเจ้าหน้าที่ก็ได้มอบภาพถ่ายของทั้งสองพระองค์ให้กับคุณลุงด้วย
หน้าที่ได้จัดลำดับให้ผมเข้าเฝ้าเป็นลำดับที่ 3
จากผู้ที่ได้มีโอกาสเข้าเฝ้ากว่า 40 คน
เมื่อได้เข้าเฝ้าพระจักรพรรดิอากิฮิโตได้สัมผัสมือกับผมและตรัสผ่านล่ามว่า
รู้สึกขอบคุณ
และขออภัยที่ทำให้ผมต้องเดินทางมาไกลและตรัสว่าในนามของประชาชนชาวญี่ปุ่นและใน
นามของประมุขของประเทศญี่ปุ่น
ขอขอบคุณที่ได้จัดสร้าง พิพิธภัณฑ์ดังกล่าวขึ้นมาและฝากความระลึกถึงชาวบ้าน 3
คนที่ไม่มีโอกาสเดินทางมาด้วย
ซึ่งในการพูดคุยพระองค์ทรงมีอัธยาศัยอย่างไมตรีและไม่ถือตัวสร้างความปีติให้
กับผมและภรรยาอย่างที่สุด
โดยการเข้าเฝ้าเมื่อวันที่ 13 มิ.ย.ที่ผ่านมา
สมเด็จพระจัรพรรดิอากิฮิโตได้พระราชทานจอกเงิน
ที่มีตราราชวงศ์ญี่ปุ่นประทับอยู่ให้กับผมและภรรยาด้วย"
คุณลุงเชิดชาย ยังบอกด้วยว่า
พิพิธภัณฑ์สงครามโลกมีความสำคัญกับชาวญี่ปุ่นและคนไทยที่ผ่านพ้นประวัติศาสตร์
ร่วมกันโดยเฉพาะเส้นทางเดินทัพที่พาดผ่าน
อ.ขุนยวม เรียกกันว่าเป็น "เส้นทางโครงกระดูก"
โดยขณะนั้นทหารฝ่ายพันธมิตรได้ปิดล้อมกองทหารญี่ปุ่น
ตั้งแต่เมืองโอคิมาของอินเดียตอนใต้
ไล่ลงมาผ่านอิรวดีของพม่าและเข้าสู่ภาคเหนือของไทยที่ อ.ขุ นยวม
ซึ่งยุกธการปิดล้อมครั้งนั้นได้ทำให้ทหารญี่ปุ่นต้องเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก
และเนื่องในปีนี้เป็นปีมงคล คุณลุงจึงตั้งใจถวายพิพิธภัณฑ์สงครามโลกครั้งที่ 2

ให้เป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระจักรพรรดิอากิฮิโตแห่ง
ญี่ปุ่น
และปฏิญาณว่า
จะตั้งใจดำเนินการสะสมสิ่งของในอดีตรวมทั้งเป็นแหล่งความรู้ให้กับผู้สนใจศึกษา
ต่อไปด้วย
...........................................................................
............................................................................
...............

แม่ค้าผลไม้ที่เจ้าชายแห่งลักเซมเบิร์ก ได้เสด็จฯเยี่ยมชมตลาด
และทรงลองเสวยทุเรียน ซึ่งคุณแม่ค้า สาว 2 พี่น้อง เจ้าของร้าน "นันท์-น้อย"
เล่าถึงความประทับใจและระทึกใจต่อเจ้าชายหนุ่มว่า
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ขณะที่กำลังขายผลไม้อยู่หน้าร้าน
ปรากฎว่าบริเวณหน้าตลาด อตก.มีผู้คนคึกคักผิดปกติ
เลยรู้ว่ารอชมพระบารมีของเจ้าชาย คุณแม่ค้าและน้องสายก็ตื่นเต้นดีใจ
ที่มีพระราชอาคันตุกะเสด็จมาชมตลาด
(ขอแทรกค่ะ) แถมการเสด็จครั้งนี้
ท่านทรงพระดำเนินมาตั้งแต่สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส มายังตลาด
คิดดูว่าทั้งร้อนทั้งไกลขนาดไหน
คุณแม่ค้าเล่าอย่างเห็นภาพว่า
"มาถึงพระองค์ท่านก็เลี้ยวมาที่ร้านของดิฉันทันที
พระองค์ทรงหยุดมองทุเรียนที่วางขายอยู่หน้าร้าน
ซึ่งดิฉันก็บอกกับล่ามของพระองศ์ว่า สามารถชิมได้ พระองค์มีท่าทีสนใจ
และยิ้มแย้มที่ได้เห็นทุเรียน แต่ทางผู้ติดตามบอกว่าพระองค์ไม่สามารถชิมได้
เพราะเกรงว่าจะท้องเสีย แต่พอล่ามได้บอกกับพระองค์ว่า แม่ค้าอยากให้ชิม
พระองค์จึงตรัสว่าจะลองชิม แล้วผู้ติดตามก็ได้ให้ดิฉันเช็ดมีดให้สะอาด
แล้วเอาไม้มาให้พระองค์จิ้มเสวย แต่ปรากฎว่าพระองศ์ทรงใช้มือหยิบเสวย
พร้อมชมว่า อร่อยมากๆ"
คุณแม่ค้าเล่ามาถึงตรงนี้ ก็ยิ้มปลื้ม ก่อนจะบอกว่า "เสวยทุเรียนเสร็จ
ดิฉันก็ถวาย มังคุดให้เสวยต่อ ซึ่งพระองค์ก็ชอบมากอีกเช่นกัน
ดิฉันเลยบอกผู้ติดตามว่าจะขอถวายผลไม้ให้ได้ไหม แต่ทางผู้ติดตามบอกว่า
จะขอซื้อ เพราะถ้าถวาย ก็กลัวว่าแม่ค้าจะขาดทุน เพราะต้องซื้อเป็นจำนวนมาก"
เท่านั้นแหละ เธอถึงยอมใจอ่อน ตัดใจขายทุเรียนให้พระองค์ท่านไป 4 กิโล ราคา 1
พันบาท แล้วก็แถมผลไม้อย่างอื่นให้ด้วย
คุณพี่แม่ค้าเล่าตอนนี้อย่างปลื้มสุดๆ อีกว่า
"พระองค์ท่านถามดิฉันว่าทำไมต้องให้ฟรี ดิฉันบอกว่าพระองค์เป็นแขกของในหลวง
พระเจ้าแผ่นดินที่ดิฉันเคารพรักมาก เมื่อพระองค์มาเยือนประเทศไทย
มาเป็นแขกของพระเจ้าแผ่นดิน ดิฉันก็ต้องต้อนรับให้ดีที่สุดเช่นกัน
พอล่ามแปลให้ฟัง พระองค์ท่านก็ทรงยิ้มแย้ม "

หลังจากวันนี้ คุณพี่แม่ค้าก็มีเหตุระทึกใจเกิดขึ้น เพราะวันถัดมา จู่ๆ
ก็มีโทรศัพท์ของบุคคลผู้ไม่คุ้นเคย โทรมาหา
และบอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจสายสืบ สน.บางซื่อ พอรู้เท่านั้นแหละ
คุณพี่แม่ค้าต๊กกะใจ "นึกว่าพูดอะไรออกไป"
แต่ปรากฎว่า คุณพี่ตำรวจนายนั้น โทรมาบอกว่า "คืนนั้นเจ้าชายทรงนอนไม่หลับ
เพราะยังคิด และประทับใจในคำพูดที่ดิฉันมีต่อพระเจ้าแผ่นดิน
และปลื้มใจที่มีประชาชนชาวไทยรักในหลวงมากมายขนาดนี้"
...โอย ฟังแล้วปลื้มหัวใจเจ้าค่ะ
คุณพี่แม้ค้าเลย ตบท้ายว่า ที่เจ้าชายทรงเสด็จฯ มาเสวยทุเรียนที่ร้าน
ดิฉันรู้สึกดีใจมาก และถือเป็นวาสนาว่าครั้งหนึ่งในชีวิต
เคยมีพระเจ้าแผ่นดินพระองค์หนึ่งเสด็จมา
ดิฉันว่าประชาชนของประเทศลักเซมเบิร์กบางคน
ยังไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดพระองค์ท่านเหมือนดิฉัน
ถ้าเป็นไปได้ดิฉันอยากให้ท่านเสด็จมาเยือนประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง"
คุณพี่แม่ค้าว่างั้น ...ฮึ โชคดีกว่าอิฉันอีกนะคุณพี่ หุหุ</span>
<img src='http://i46.photobucket.com/albums/f124/wari_sara/william%2009/3026828-1.jpg' border='0' alt='user posted image' />
ภาพประจำตัวสมาชิก
ซาร่า
แม่ไข่ตุ๋น พ่อไข่ต้ม
 
โพสต์: 34
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 17, 2006 4:14 pm

โพสต์โดย momo » จันทร์ มิ.ย. 26, 2006 12:05 pm

รูปภาพ]<span style='color:green'><span style='font-size:14pt;line-height:100%'>เป็นปลื้มไปกับทุกๆท่าน จริงๆจากใจเลยค่ะ</span></span>
ภาพประจำตัวสมาชิก
momo
แม่ไข่ยัดไส้ พ่อไข่ลูกเขย
 
โพสต์: 659
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ พ.ค. 28, 2006 11:44 am

โพสต์โดย Amelia » จันทร์ มิ.ย. 26, 2006 12:29 pm

ใช่แล้วค่ะ อ่านแล้วเป็นปลื้มไปกับทุกคนในเรื่องเหล่านี้ค่ะ โดยเฉพาะแม่ค้าทุเรียนที่ตอบคำถามท่านไป น้ำตาไหลเลยล่ะค่ะ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Amelia
แม่ไข่นกกระทา พ่อไข่จะละเม็ด
 
โพสต์: 2791
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ม.ค. 19, 2006 5:45 pm
ที่อยู่: ใกล้ๆรังสิต

โพสต์โดย แมวเหมียว » จันทร์ มิ.ย. 26, 2006 3:41 pm

ดีจัง ที่คุณซาร่า มาเล่าเรื่องน่ารักๆที่เราไม่มีโอกาสได้รู้ น่ารักจัง ขอบคุณนะคะ
<br><span style='color:blue'><span style='font-size:14pt;line-height:100%'>ไม่รู้ว่าจะเขียนอะไรตรงลายเซน แต่เห็นคนอื่นเขามีกัน เราก็เลยอยากมีบ้าง</span></span>
ภาพประจำตัวสมาชิก
แมวเหมียว
แม่ไข่ตุ๋น พ่อไข่ต้ม
 
โพสต์: 29
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร มี.ค. 07, 2006 9:38 am

โพสต์โดย ree » พุธ มิ.ย. 28, 2006 11:52 am

ขอบคุณ คุณซาร่ามากที่มีเรื่องน่ารักๆๆและประทับใจมาเล่าให้ฟัง
มีอีกมั้ยค่ะ อยากฟังต่อค่ะ
สบาย..สบาย...ทำหัวใจเอกเขนก
ภาพประจำตัวสมาชิก
ree
แม่ไข่ตุ๋น พ่อไข่ต้ม
 
โพสต์: 1
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.พ. 08, 2006 1:42 am


ย้อนกลับไปยัง Web Moderator

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน
cron