ครัวไกลบ้านได้ทำการปรังปรุงเวบไซต์ให้ใช้งานได้ง่ายขึ้นในระบบสมาร์ทโฟน และได้รวมข้อมูลเมนูอาหารและ สมาชิกจากทั้งเวบไซต์เก่าและใหม่เสร็จเรียบร้อยแล้ว

สมาชิกท่านไหนมีปัญหาไม่สามารถล็อกอินได้ ให้ทำการเปลี่ยนพาสเวิร์ดโดยคลิ๊กลิ้งค์นี้ ลืมรหัสผ่าน
ถ้าท่านใดมีชื่อสมาชิกมากกว่าหนึ่งชื่อแล้วต้องการรวมโพสทั้งหมดให้อยู่ในชื่อสมาชิกเดียว หรือมีปัญหาในการใช้เวบไซต์
สามารถส่งอีเมล์แจ้งรายละเอียดมาได้ที่ admin@kruaklaibaan.com หรือส่งข้อความได้ที่ user: sillyfooks

ถ้าชอบครัวไกลบ้าน อย่าลืมคลิ๊กไลค์เฟสบุ๊คให้ครัวไกลบ้านด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ

มาเรียนภาษาอังกฤษกันเถอะ

อยากคุย อยากเล่า อยากบ่น เรื่องสุข เรื่องทุกข์ เรื่องสารพันปัญหา เชิญคุยกันได้ตามสบายที่ห้องนี้ค่ะ

โพสต์โดย meawmark » ศุกร์ ก.ค. 04, 2008 3:26 pm

สืบเนื่องมาจากตอนนี้กำลังฝึกเขียนภาษาอังกฤษแบบเป็นทางการ เพราะต้องการ

ฆ่าเวลา ไหนจะตะลอนไปเรียนภาษา ตามที่เรียนฟรีต่างๆ และก็ฝึกอ่านหนังสือ เผอิญ

ไปเจอ จม.ของพี่ยายหนู

ก่อนอื่นต้องขออนุญาตยายหนูนำข้อความในจดหมายจากเรื่องเล่าชาวครัว มาฝึก

ภาษาหน่อยนะคะ


will be his sponsor during his stay in the US and take a full responsibility of him. I promise on my honor that I guarantee his return to Thailand before his visa expires. There is no any reason to give him a stay after his visa expire because when I become a US Citizen, I will apply for a permanent resident status for him so that he will be able to come live here and take over my business in the future.

ต้องขอโทษที่ตัดมาขาดๆนะคะ

ขอถามท่านผู้ชำ่ำชองภาษาอังกฤษแบบเขียนเป็นทางการ(formal) โดยเฉพาะน้องมดผู้

เขียน หน่อยนะคะว่า

he will be able to come live here

ต้องใช้ to เชื่อมระหว่าง come , live เป็น he will be able to come to live here

หรือถ้าน้องมดเขียนถูกแล้วช่วยสอนลูกศิษย์หน่อยว่าเพราะอะไร

มีปัญหามากที่จะเขียนถาม ถ้าไม่เป็นการรบกวนนะคะ แต่ตอนนี้เอาแค่นี้ก่อน

ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ
ภาพประจำตัวสมาชิก
meawmark
แม่ไข่ดาว พ่อไข่เจียว
 
โพสต์: 332
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ มิ.ย. 30, 2007 1:40 pm

โพสต์โดย prettypass2000 » เสาร์ ก.ค. 05, 2008 5:03 am

ไม่แน่ใจเหมือนกันน่ะค่ะ &nsbp; &nsbp;ี่มดใช้หลักการเขียนประจำของ American Englishค่ะ ตอนเรียนมาก็เขียนแบบนี้ อาจารย์ก็บอกว่าถูก ตอนทำงานที่นี่ก็เขียนแบบนี้ ตอนสอบ TOEFL ก็เขียนแบบนี้ค่ะ ็เห็นตามเอกสาร formal เช่น จดหมายจาก immigration office หรือ บทความในนิตยสารหรือกฏหมายต่างๆที่สำนักงานทนายความที่นี่จะใช้ verb " come, go, help" แล้วตามด้วย verb เลยแบบไม่มี to นะคะ แต่ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน ไว้หาคำตอบได้แล้วจะมาบอกนะคะ

ถ้าเขียนตาม British Englishที่ใช้ในเมืองไทย จะต้องเขียนว่า He will be able to come and live here. แต่ถ้าเป็น American English go , come สามารถบวกกะ verbได้เลยค่ะโดยไม่ต้องมี and แต่กฏแกรมม่าของบาง verbจะมีข้อบังคับให้ใช้ to หรือไม่ใช้ to
<img src='http://i134.photobucket.com/albums/q90/prettypass2000/180032_160763360641641_100001239355999_351328_6246049_n-1.jpg' border='0' alt='user posted image' />
ภาพประจำตัวสมาชิก
prettypass2000
แม่ไข่กุ้ง พ่อไข่ปู
 
โพสต์: 2049
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ส.ค. 23, 2006 3:22 am

โพสต์โดย prettypass2000 » เสาร์ ก.ค. 05, 2008 5:50 am

ถ้ายังไงลองรอผู้รู้ท่านอื่นๆมาตอบนะคะ อันนี้ตอบเท่าที่หาได้จากการสอนของอาจารย์อเมริกันสมัยเรียนที่เอแบคกะตอนที่เรียนภาษาที่นี่น่ะค่ะ
พอดีไปลองค้นในสมุดที่จดไว้มา

American English นับ go, come เป็น quasi-auxiliary verbคือ verb ที่สามารถมี infinitive verbมาต่อท้ายได้แบบไม่จะเป็นต้องมี prepositionค่ะแล้วไม่ทำให้ความหมายเปลี่ยนไปด้วย ถ้าเขียนแบบ British English ก็จะใช้ and เหมือนที่บอก. Example=> US English " He will be able to come live here" / British English " He will be able to come and live here" or " He will be able to come to live here" ประโยคทั้งสามนี้แปลออกมาเหมือนกันคือ เขาสามารถมาอาศัยอยู่ที่นี่ได้

ทีนี้การใช้ quasi-auxiliary verb จะนิยมใช้ในประโยคที่เป็น plain Englishนะคะ Plain English คือ การใช้หรือการเขียนที่คำนึงถึงความต้องการของผู้รับ ส่วนใหญ่จะหลีกเลี่ยงการใช้คำที่ไม่จำเป็นหรือดูมากเกินไป ซึ่งการตัดทอนคำจะไม่ทำให้ความหมายเปลี่ยนไป แต่ verb บางตัวไม่สามารถเป็น quasi-auxliary verbได้ เช่น start, need และอีกมากมากน่ะค่ะ

เท่าที่เข้าใจและจากประสบการณ์ทำงานที่นี่คือ ในอเมริกา plain Englishสามารถใช้ใน formal document เช่น เอกสารทางกฏหมาย ยกตัวอย่างคือ พินัยกรรม และ legal agreement ได้ค่ะ อันนี้เคยเห็นบ่อยๆตอนฝึกงานที่บริษัททนายความที่นี่ ซึ่งถ้าจะว่าไป American Englishจะใช้ง่ายและมีข้อยกเว้นกว่า British Englishนะคะ แต่ะ American Englishก็จะมีคำแผลกๆเยอะเหมือนกัน เช่นถ้าตำรวจหยุดเรา เขาจะไม่ใช้้คำว่า "stop"น่ะค่ะ แต่จะใช้คำว่า "pull over"แทนซึ่งมีความหมายเหมือนกัน

ถ้าอยากถามอะไรอีกก็ถามได้นะคะ ถ้าตอบได้ก็ยินดีช่วยเต็มที่ค่ะ
<img src='http://i134.photobucket.com/albums/q90/prettypass2000/180032_160763360641641_100001239355999_351328_6246049_n-1.jpg' border='0' alt='user posted image' />
ภาพประจำตัวสมาชิก
prettypass2000
แม่ไข่กุ้ง พ่อไข่ปู
 
โพสต์: 2049
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ส.ค. 23, 2006 3:22 am

โพสต์โดย ทัพพี » เสาร์ ก.ค. 05, 2008 10:51 am

<span style='color:green'>ทัพพีขอเข้ามาเป็นนักเรียน (โข่ง) ด้วยคนนะคะ ขอบคุณค่ะ </span>
<b><span style='color:green'> เหนือคำบรรยาย</span></b>
ภาพประจำตัวสมาชิก
ทัพพี
แม่ไข่หวาน พ่อไข่เค็ม
 
โพสต์: 1155
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ พ.ย. 18, 2006 5:01 pm

โพสต์โดย meawmark » เสาร์ ก.ค. 05, 2008 1:35 pm

คุณครูมดตอบได้กระจ่างมากเลยค่ะ ขอบคุณมากสำหรับคำตอบ แต่ไอัตัวสุดท้าย

เนี่ย pull over สงสัยว่าครูมดเจอเองแน่เลย..(แซวเล่นนะคะ)

พี่ก็ถามครูEsol นะคะเค้าก็นั่งนึกแล้วก็บอกว่าอเมริกันชอบพูดประโยคนั้นโดยไม่ใช้ to

แต่เวลาเขียนควรใช้

แต่พี่ฟังครูมดพูดมีเหตุผล อิงหลักความจริงมากกว่า อันนี้พี่ไม่ได้ลบหลู่ครูesol นะคะ

จริงแล้วครูก็เก่งเหมือนกัน เค้าบอกว่า ของเค้าเน้นสอนให้คนพูดอังกฤษได้ ดังนั้นอัน

ไหนที่เค้าไม่แน่ใจจริงๆเค้าก็บอกเค้าจะไปค้นมากให้ แต่ส่วนมากเค้าจะยุ่ง ก็ไม่ว่าเค้า

นะ พี่ถามเค้ามากจนเค้าบอกว่า jariya, you are curious...ก็คนมันว่างนิ ก็อยากรู้ไปหมด แหม๋เรื่องอะไรจะอยู่ว่างๆ อยู่ประเทศเค้าทั้งทีต้องอัพภาษาหน่อย...ฮันแน่

เข้าเรื่องกันดีกว่านะครู วันนี้มีคำถามอีกแล้ว

1.quasi-auxiliary ต่างกันกับ auxiiary รึเปล่าคะ

2.get , have + participle ....ใช้อย่างไร ตัวอย่างนะคะ

-Do you know where i could get a passport photo taken?

-Can you tell me where i could have film feveloped?

พี่ดูรูปประโยคแล้วพยามนึกถึง passive voice แต่ว่ามันไม่ใช่ ช่วยอธิบายหน่อยค่ะครูข๋า

ปล. พี่รู้ว่าครูยุ่ง ว่างเมื่อไหร่ค่อยตอบก็ได้นะคะ รอได้เสมอ เพราะตอนนี้นักเรียนจะไป

ฝึกภาษาที่ร้านไทย(เสริฟ)ค่ะ

ขอบคุณค่ะคุณครูคนเก่ง
ภาพประจำตัวสมาชิก
meawmark
แม่ไข่ดาว พ่อไข่เจียว
 
โพสต์: 332
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ มิ.ย. 30, 2007 1:40 pm

โพสต์โดย prettypass2000 » เสาร์ ก.ค. 05, 2008 2:20 pm

มดไม่เก่งหรอกค่ะ อาศัยการอ่านบ่อยๆ อันไหนไม่รู้หรืออยากรู้มากกว่้าเดิมก็เปิดหนังสือหรือถามเอา ที่บ้านมีหนังสือพวกนี่เยอะแต่ในหนังสือบางทีเอามาใช้ไม่ได้เพราะไม่มีใครใช้กัน ส่วนเรื่องเรียนภาษาขึ้นอยู่กะว่าเรียนแบบไหนน่ะค่ะ ตอนมาที่นี่ไม่ได้ลงเรียนภาษา EOSLเพราะทางมหาวิทยาลัยให้ใช้ผล TOEFLยื่นได้ แต่ต้องลง English for writing และ Lingusiticแทนค่ะเพราะที่ไทยไม่ใช้ American English เรียนไปงงไปเพราะ American English มันสับสนเหมือนกันโดยเฉพาะ 2 words verbs


ส่วนตัวแล้วชอบให้คนถามนะคะ เพราะการได้ตอบก็คือการที่มดได้ค้นหาข้อมูลทำให้ได้เรียนรู้ไปในตัว และเป็นการทบทวนความรู้ที่เรียนมา อยากจะบอกว่าฝรั่งส่วนใหญ่ไม่ได้เก่งแกรมมาร์เหมือนเราๆนี่แหละค่ะ ตอนเรียนเลยต้องช่วยกันทั้งหัวทองหัวดำในการค้นหาคำตอบ อาจารย์แต่ละคนก็ต่างกันเลยอาศัยเอาจากประสบการณ์ทำงานกะส่วนตัวมาตอบมากกว่า เอาแบบที่เห็นว่าคนอเมริกันที่นี่ใช้น่ะค่ะ ตอนอยู่ที่นี่ก่อนแต่งงานก็เรียนต่อโทกะเลี้ยงเด็ก หลังแต่งงานก็เลี้ยงเด็กกะทำงานร้านญี่ปุ่นเป็นงานเสริม ส่วนงานหลักทำงานบริษัทสินเชื่อค่ะและออกมาฝึกงานที่สำนักงานทนายความเลยได้ทำหรือเตรียมเอกสารทุกวัน

ส่วน pull overนั้นเจอกะตัวเองค่า สมัยสาวๆโดนตำรวจที่นี่หยุดเพราะขับรถเกิน speed limit โดนค่าใบสั่งไป $150 แถมโดนคุณพ่อดุอีกต่างหากเพราะแกเป็นคนจ่ายค่าปรับให้ ดีนะที่ไม่ต้องโดนไปศาลน่ะค่ะ อิอิอิอิอิ อย่าเลียนแบบนะคะเพราะมันไม่ดี อยู่นี่มาห้าปีโดนไปแค่ครั้งเดียวแต่ก็เข็ดไปเลยค่า อิอิอิอิอิ police เขียนในใบสั่งว่ามด went pass the stop sign เลยเอาไปถามอาจารย์ในห้อง English for writing เลยได้คำตอบแบบที่ตอบน่ะค่ะ

ส่วนที่ถามมาใหม่เดี๋ยวขอแปลที่จดจากอังกฤษเป็นไทยก่อนนะคะ
<img src='http://i134.photobucket.com/albums/q90/prettypass2000/180032_160763360641641_100001239355999_351328_6246049_n-1.jpg' border='0' alt='user posted image' />
ภาพประจำตัวสมาชิก
prettypass2000
แม่ไข่กุ้ง พ่อไข่ปู
 
โพสต์: 2049
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ส.ค. 23, 2006 3:22 am

โพสต์โดย prettypass2000 » เสาร์ ก.ค. 05, 2008 6:26 pm

quasi-auxiliary verb คือ กริยาที่ใช้เหมือนกริยาช่วย

ส่วน auxiliary verb คือ กริยาช่วย กริยาช่วยที่นิยมใช้ทั่วไป คือ to have, to be, to do, will, shall, would, should, can, may, might, and could ซึ่งในภาษาอังกฤษจะใช้เปลี่ยนรูปแบบของกริยาหลักในประโยคเป็น passive, progressive, perfect, modal, dummyนะคะ

ประโยคโดยทั่วไปในภาษาอังกฤษจะมี ประธาน +กริยา +คำนาม เราสามารถใส่กริยาช่วยเพื่อขยายกริยาหลักได้มากกว่าหนึ่งค่ะ เช่น I have slept.[one auxiliary]/ I have been sleeping.[two auxiliary]

ซึ่งกริยาช่วยบางตัวสามารถใช้เป็นกริยาหลักได้เช่น "to be" => auxiliary = I was hit by a bike หรือ full verb = I am a ladyค่ะ หรือ "to have" => auxiliary = I have done my homework / full verb = I have a carค่ะ

ทีนี้มาพูดถึงหน้าที่ของกริยาช่วยนะคะ
1. passive: กริยาช่วย "to be" เมื่อนำมาใช้กับ verb ช่องสามจะทำให้ประโยคเป็น passive ซึ่งหมายถึงประธานของประโยคเป็นผู้ถูกกระทำ เช่น Peter was hit by a car[ปีเตอร์ถูกรถชน] แต่การใช้บางครั้งก็ทำให้ไม่เป็น passiveเช่นกันเพราะ past participleสามารถใช้ีadjectiveแบบบอกสถานะได้ ยกตัวอย่างคือ "at 9 pm.,the window was closed"สามารถแปลได้ว่า ตอนสามทุ่มหน่าต่างถูกปิืด หรือ ตอนสามทุ่มหน้าต่างไม่เปิด เราสามารถใช้ verb "get" แทน "to be" ได้นะคะและจะทำให้ประโยคเป็น passiveเหมือนเดิม คือ "at 9pm, the window got closed"

2. prgressive: เราสามารถใช้ "to be" แล้วตามด้วย verb+ingเพื่อที่จะบอกว่าสิ่งที่นั้นกำลังเกิดขึ้นขณะที่คนพูดกำลังพูด เช่น I am swimming in the creek=>ฉันกำลังว่ายน้ำอยู่ในลำธาร

3. perfect: เราใช้ "to have" กะ verbช่องสามนะคะ เป็นการเชื่อมโยงอดีตถึงปัจจุบันว่าเหตุการณ์ที่กล่าวมีความเป็นมาจากอดีตถึงปัจจุบัน e.g., I have been reading this book I read this book อันแรกจะเป็น perfect หมายถึง ฉันอ่านหนังสือเล่มนี้มา ส่วนอันหลังจะเป็นแค่บอกว่าฉันอ่านหนังสือเล่มนี้แต่ไม่ได้บอกว่าอ่านมานานไหม perfectส่วนใหญ่จะมี for, since ต่อท้ายประโยคเพื่อบอกระยะเวลา for + years/ since + year or sentence or time เช่น I have been reading this book for 10 days. หรือ I have been reading since I was young/ I have been reading since 1992.

4. Modal: กริยาต่อไปนี้ในภาษาอังกฤษไม่สามารถใช้เป็นกริยหลักได้ จำต้องเป็นกริยาช่วยเสมอคือ can, could, may, might, shall, should, will, would, and must กริยาช่วยที่กล่าวนี้จะใช้บอกถึงความคิดหรือความเห็นของผู้พูดหรือผู้ฟังขณะที่กำลังสนทนาหรือเขียน ซึ่งกริยาช่วยบางตัวจนี้จะำพบได้บ่อยใน conditional tense
ข้อควรรู้ คือ "could" ไม่ได้เป็น past tenseของ canเสมอนะคะ ขึ้นอยู่กะการใช้ในประโยคเช่น
-I couldn't do it.[เป็นpastของ can]
-It could happen.[บอกถึงความน่าจะเป็น ]
-Could you do me a favor? [เป็นการช่วยให้สุภาพกะคนที่คุ้นเคย]

5. Dummy: หมายถึง การใช้กริยาช่วยในการสร้างคำถามหรือทำประโยคให้เป็นปฏิเสธค่ะ นอกจาก"to be" & "to have" เราใช้ dummy auxiliary "to do"สำหรับตั้งคำถามหรือปฏิเสธเมื่อประโยคที่เป็น positiveมีกริยสหลัก เช่น I know the way. => I don't know the way / Do you know the way? ซึ่งปกติเราจะไม่เห็น dummy "to do" ในประโยดที่มีกริยาหลักที่เป็น positiveและไม่อยู่ในเชิงคำถาม แต่ก็มีข้อยกเว้นว่าเราสามารถใช้ dummy "to do"เป็น "do-insertion เพื่อยืนยันประโยคpostiveนั้น เช่น I do know the truth=> ฉันรู้ความจริงนั้น[ผู้พูดมั่นใจว่ารู้ความจริงนั้นจริงๆ"
<img src='http://i134.photobucket.com/albums/q90/prettypass2000/180032_160763360641641_100001239355999_351328_6246049_n-1.jpg' border='0' alt='user posted image' />
ภาพประจำตัวสมาชิก
prettypass2000
แม่ไข่กุ้ง พ่อไข่ปู
 
โพสต์: 2049
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ส.ค. 23, 2006 3:22 am

โพสต์โดย uthanya » เสาร์ ก.ค. 05, 2008 7:03 pm

ดีจังค่ะ ได้เรียนไปด้วย เพราะว่ามีปัญหาเรื่อง Tense และก็ ไม่รู้เมื่อไหร่ จะใช้ verb to have เมื่อไหร่จะใช้ verb to do. ยิ่งตอนนี้พูดแต่ภาษาเยอรมัน เวลาจะพูดภาษาอังกฤษ กลายเป็นไม่กล้าที่จะพูดอีกเลย!!!!!! เป็นกระทู้ทีให้ประโยชน์มากค่ะ จะรออ่านต่อนะคะ
<i><span style='font-size:14pt;line-height:100%'><b><span style='color:purple'>เหนื่อยจัง แต่ยังสู้ไหว</span></b></span></i>
ภาพประจำตัวสมาชิก
uthanya
แม่ไข่ตุ๋น พ่อไข่ต้ม
 
โพสต์: 48
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ส.ค. 16, 2007 9:53 am

โพสต์โดย prettypass2000 » อาทิตย์ ก.ค. 06, 2008 4:30 am

Have + participle เป็นการทำให้ประโยคเป็น perfect tenseนะคะ เช่น หากคุณเหมียวจะพูดว่า ฉันอยู่อเมริกามาตั้งแต่ปี 1992ก็ให้ใช้ perfect tenseเพราะว่าปัจจุบันคุณเหมียวก็ยังอยู่ที่นี่ค่ะ เขียนให้ถูกคือ I've been in USA since 1992. ส่วนการใช้

get+ participle จะใช้เมื่อผู้พูดรู้สึกหรือรับรู้การกระทำนั้นๆ หรืออีกนัยนึงคือมีความหมายเหมือน becomeค่ะ เช่น เราสามารถเขียนได้ว่า I got tired. = I become tired. ที่หามาให้คือ participle ที่นิยมใช้กะ getนะคะ get dressed, get confused, get done, get divorced, get engaged, get married, get used to, get hurt, get tired, get accustomed to, get lost, get arrested, get involved, get drunk, get sunburned, get worried, get acquainted, get excited, get bored, get invited, get crowded
<img src='http://i134.photobucket.com/albums/q90/prettypass2000/180032_160763360641641_100001239355999_351328_6246049_n-1.jpg' border='0' alt='user posted image' />
ภาพประจำตัวสมาชิก
prettypass2000
แม่ไข่กุ้ง พ่อไข่ปู
 
โพสต์: 2049
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ส.ค. 23, 2006 3:22 am

โพสต์โดย prettypass2000 » อาทิตย์ ก.ค. 06, 2008 4:38 am

คุณ uthanya เวลาพูดอย่าไปกลัวค่ะ ฝรั่งส่วนใหญ่เขาจะพยายามเข้าใจเวลาเราพยายามพูด แนะนำให้พูดเยอะๆค่ะถึงจะผิดหลักไวยากรณ์ ฝรั่งเขาจะช่วยแก้ไขแถมเขายังเข้าใจสิ่งที่เราพูดอีกด้วยนะคะ

ตอนมดมาอยู่อเมริกาใหม่ๆก็ต้องเรียนรู้ American Englishเหมือนกันค่ะเพราะว่าที่เมืองไทยจะใช้ British Englishเป็นหลัก อาศัยว่าชอบพูดคุยกะคนที่นี่ก็ช่วยได้เยอะค่ะ พอดี hostที่อยู่ด้วยแนะนำให้ฝึกกะฝรั่งที่เราพบปะทุกวันแทนการเข้าห้องเรียน อันนี้ยอมรับว่าทำให้เรียนรู้เร็วขึ้นและได้ภาษาแบบที่ใช้ในชีวิตประจำวันมาน่ะค่ะ แต่ตอนนี้ก็เรียนรู้อยู่ทุกวันนะคะเพราะภาษาทุกภาษาไม่มีกฏตายตัวในการพูดและใช้น่ะค่ะ

Viel Glück beim Lernen und sieht Sie
<img src='http://i134.photobucket.com/albums/q90/prettypass2000/180032_160763360641641_100001239355999_351328_6246049_n-1.jpg' border='0' alt='user posted image' />
ภาพประจำตัวสมาชิก
prettypass2000
แม่ไข่กุ้ง พ่อไข่ปู
 
โพสต์: 2049
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ส.ค. 23, 2006 3:22 am

โพสต์โดย meawmark » อาทิตย์ ก.ค. 06, 2008 1:47 pm

ครูมดข๋า ดีใจจังที่ตอบมา นักเรียนขออ่านคร่าวๆ ก่อนนะ เดียวกลับมาจะมาอ่านต่อ แต่

ที่แน่ๆได้ความรู้มากโขเลย

เมื่อวานไปเสริฟมา แทบสลบเลย ได้ฝึกภาษาทั้งวันเลย คุยกับฝาหรั่งสนุกดีวันนี้จะไป

ต่อค่ะ

ขอบคุณค่ะครู
ภาพประจำตัวสมาชิก
meawmark
แม่ไข่ดาว พ่อไข่เจียว
 
โพสต์: 332
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ มิ.ย. 30, 2007 1:40 pm

โพสต์โดย meawmark » อาทิตย์ ก.ค. 06, 2008 2:16 pm

ก่อนไปนิดหนึ่งคะครูมด เมื่อกี้อ่านคร่าวๆ เลยสงสัยว่า past participle กับ participle

เหมือนกันเหรอคะ

ที่เข้าใจนะคะ

- past participle เป็นกรียาช่องสาม

- participle เป็นรูปกริยาที่ใช้กับกริยาช่วยเพื่อแสดงถึงกาลในไวยากรณ์และสามารถ

ใช้อย่างอิสระเป็นคำคุณศัพท์(อันนี้แปลจากหนังสือค่ะ แต่ที่เหมียวเข้าใจคือสามารถ

แสดงเป็นadj. ได้อย่างอิสระ)


ถ้านักเรียนเข้าใจผิดแล้วช่วยอธิบายด้วยนะคะ ครูมดอย่าพึ่งเบื่อ เพราะได้ความรู้มาก

เลย


เพื่อนๆพี่ๆทุกคนเข้ามาแลกเปลี่ยนความรู้กันได้นะคะจะถูกจะผิดเดี๋ยวเรามาช่วยกัน

ขอบคุณค่ะ
ภาพประจำตัวสมาชิก
meawmark
แม่ไข่ดาว พ่อไข่เจียว
 
โพสต์: 332
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ มิ.ย. 30, 2007 1:40 pm

โพสต์โดย prettypass2000 » อาทิตย์ ก.ค. 06, 2008 5:17 pm

ที่คุณเหมียวเข้าใจน่ะถูกแล้วค่ะ แต่อันข้างบนนั้นขึ้นอยู่กะผู้พูดและการตีความของผู้รับนะคะ
ในประโยค "at 9 pm., the door was closed" สามารถแปลได้สองความหมายคือ ประตูถูกปิด หรือ ประตูไม่เปิด เพราะฉะนั้นถ้าผู้พูดต้องการให้ผู้รับแน่ใจว่าหมายถึงประตูถูกปิด ส่วนใหญ่จะแนะนำให้ใช้ get + past participleน่ะค่ะ ก็จะได้ประโยคเป็น "At 9 pm., the door got closed" ว่าไปแล้วภาษาอังกฤษพูดง่ายกว่าเขียนค่ะ เพราะการเขี้ยก็ต้องให้แน่ใจว่าเราเขียนถูกหลักไวยากรณ์ แล้วหลักไวยากรณ์มันก็ไม่ตายตัวด้วย และหลักไวยากรณ์บางเรื่องใน American Englishจะอลุ้มอล่วยกว่า British Englishนะคะ จริงๆแล้วหลักไวยากรณ์ของสองอันนี้จะเหมือนกันแต่บางทีอาจมีข้อแตกแยกออกไปอีกน่ะค่ะ ถ้าเราใช้เขียนในชีวิตประจำวันบ่อยๆก็เหมือนกะเราได้ใช้และฝึกบ่อยๆนั่นเองค่ะ

Participleมีสามแบบนะคะ เริ่มเลยดีกว่า

Participle
คือ เป็นการเปลี่ยนรูปของกริยาที่เอามาอยู่ใน verb phrase และอีกนัยนึงก็สามารถใช้เป็น adjectiveได้ค่ะ ที่บอกว่า participleมีสามแบบ คือ

1. Present Particile: เป็นกริยาที่ลงท้ายด้วย ing นะคะ ถ้าเราใช้คู่กะ auxiliary "to be"จะทำให้ประโยคที่กำลังถูกกล่าวเป็น past/present continuous tenseค่ะ
# I am eating my breakfast. [verb- present continuous tense
# You should put your sleeping child on that sofa. [adjective]

Note! present participleบ่งบอก gerund gerundก็คือ กริยาที่บวก ing แต่ใช้เป็นคำนามค่ะ ซึ่ง gerundสามารถตามหลัง' adjective, other verbs, prepositionได้นะคะเช่น
# I enjoy a long walking.
# you cannot cook omelet without breaking the eggs.

2. Past Participle: เป็นกริยาที่ลงท้ายด้วย ed หรือที่เรารู้จักตอนเรียนคือ กริยาช่องสามค่ะ แต่กริยาที่เป็น irregularจะเปลี่ยนรูปไปนะคะ เราใช้ past participleในการบอกถึงอดีต เวลาหรือการกระทำที่ได้ผ่านมาแล้ว ถ้าใช้กะ auxiliary "to be" จะทำให้ประโยคเป็น passive voice แต่ถ้าตามด้วย "to have. ก็จะทำให้ประโยคเป็น present/past perfect tenseค่ะ

regular verb: brush-> brushed-> brushed
irregular verb: break -> broke -> broken

# I am spanked by my mother. [passive]
# I have eaten this meal. [present perfect]
# That boy has his broken leg. [adjective]

3. Perfect Participle: เป็นการนำ present participle "having" มานำหน้า past participleค่ะ ใช้ในการบอกถึงการกระทำที่ได้ถูกทำให้สำเร็จแล้ว

# Having improved her English Pia's promotion prospects were much better.
<img src='http://i134.photobucket.com/albums/q90/prettypass2000/180032_160763360641641_100001239355999_351328_6246049_n-1.jpg' border='0' alt='user posted image' />
ภาพประจำตัวสมาชิก
prettypass2000
แม่ไข่กุ้ง พ่อไข่ปู
 
โพสต์: 2049
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ส.ค. 23, 2006 3:22 am

โพสต์โดย prettypass2000 » อาทิตย์ ก.ค. 06, 2008 5:47 pm

participles as adjectives: จะใช้บรรยาย noun

1. present participles as adjectives: ใช้เพื่อบอกว่า noun ที่อยู่หลัง participle เป็นผู้กระทำ

# It is a barking dog under the tree. หมายถึง สุนัขเห่า ซึ่งสุนัขสามารถเห่าเองได้

2. past participles as adjectives: ใช้เพื่อบอกว่า noun ที่อยู่หลัง participle เป็นผู้ถูกกระทำ

# The frightened child cried for his mother. ในที่นี่หมายถึงเด็กถูกทำให้ตกใจกลัวด้วยอย่างใดอย่างหนึ่งค่ะ

Notes!!!
1. การใช้ part หรือ present participle ไม่ได้ขึ้นอยู่กะ verb tense ของประโยคนะคะแต่จะขึ้นอยู่กะคำนามที่ตามหลังว่าเป็นผู้กระทำหรือผู้ถูกกระทำค่ะ

# A barking dog was under the tree last night.
# A frightened child feels better when his mother is nearby.

2. การใช้ participleไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประธานของประโยคนะคะ ในหนึ่งประโยคเราสามารถใช้ได้ทั้ง past /present participleน่ะค่ะ ดูตัวอย่างดีกว่าเพราะพิมพ์เองก็งงเอง อิอิอิอิ

# The dog frightens the cat. => The frightening dog runs after the cat. / The frightened cat runs away.

3.participleที่ใช้เป็น adjective โดยมากจะตามหลัีงคำนามที่กล่าวถึง และตามหลัง be, become, seem

# Problems often become frustrating.
# You seem confused.
# Science is interesting.
<img src='http://i134.photobucket.com/albums/q90/prettypass2000/180032_160763360641641_100001239355999_351328_6246049_n-1.jpg' border='0' alt='user posted image' />
ภาพประจำตัวสมาชิก
prettypass2000
แม่ไข่กุ้ง พ่อไข่ปู
 
โพสต์: 2049
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ส.ค. 23, 2006 3:22 am

โพสต์โดย meawmark » พุธ ก.ค. 09, 2008 4:53 pm

ไม่ได้หนีไปไหนนะคะ ว่างๆ ก็จะเข้ามาอ่านทีละนิดละหน่อย เพราะอ่านมากแล้วสับสน

แต่ขอบอกว่าเป็นการทบทวนแกรมม่าที่ทิ้งมาเกือบสิบปีได้เป็นอย่างดี

อธิบายได้ลึกซึ้งมากเลยค่ะ

เอาไว้ให้เหมียวตีความให้เข้าใจก่อนนะคะแล้วจะกลับมาถามต่อ

ขอบคุณค่ะ
ภาพประจำตัวสมาชิก
meawmark
แม่ไข่ดาว พ่อไข่เจียว
 
โพสต์: 332
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ มิ.ย. 30, 2007 1:40 pm

ต่อไป

ย้อนกลับไปยัง คุยกันเจ๊าะแจ๊ะ

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน